คืนแรกวันฝนตกที่ทะเลสาบ…คืนต่อมาวันทอมป่วยหนัก…ผิวกายขาวนุ่มนวลอบอุ่น มีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกที่เขาภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ…ร่างกายอันน่าทนุถนอมนี้ ทอมยังคงเขินอาย แม้กระทั่งเมื่อนอนกอดกันตามลำพังบนผ้าสักหลาดหน้าเตาผิงที่มีท่อนฟืนลุกโชน ในกระท่อมบนเขาสูงกลางป่าสน ผมของทอมนุ่มมือยามสัมผัส
เขายังจำได้ทุกตารางนิ้ว ที่เขาเป็นเจ้าของชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือน ครั้งสุดท้ายนั้นเขายังจำได้ว่ามีความสุขที่สุด เมื่อทอมซุกหน้าอยู่บนแผ่นอกกว้างของเขา และกระซิบว่า
“ผมรักคุณครับ…” ทอมจูบตอบ
คริสผ่อนลมหายใจยาว ถ้าไม่กลัวว่าจะเสียงาน เขาคงหมุนปุ่มเครื่องรับฟังจากการแปลในที่ประชุมจากภาษาอังกฤษเป็นเยอรมันนานแล้ว ทอม…ทำงานที่สหประชาชาติในหน้าที่ล่ามของการประชุมระดับประเทศ ทอมไม่เหมือนใครจริง ๆ เรียนได้เกียรตินิยมในขณะว้าวุ่นใจที่เขาจากลาโดยไม่ได้บอกกล่าว เสียงของทอมแจ่มใส ชัดแจ๋วภาษาเยอรมันไม่เพี้ยนสักคำ สมดังที่ทอมเคยคุยอวดนักหนาหน้าตาภาคภูมิว่า
“มหาวิทยาลัยเวียนนานะเก่าเป็นที่สอง รองจากซอร์บอนน์ของปารีสนะครับ แล้วคณะล่ามและแปลของเราก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก ใครจบจากนี่รับรอง ที่ไหน ๆ ก็แบมือรับ”
แต่ทอมก็เรียนจบได้เกียรตินิยมและดำเนินชีวิตอยู่มาได้อย่างดี โดยไม่มีเขา
เขาไม่ได้โกรธทอมจนนิดเดียว ทอมมีสิทธิ์ที่จะโกรธ เกลียดเขาทุกประการ…เขามันไม่ดีเอง
เขาขับรถเอื่อย ๆ กลับบ้าน เขาโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองว่า ไอ้เกมสนุกครั้งนั้นที่ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ ก็เพราะรักทอมนั่นเอง…เขารักทอม ถวิลหาอาวรณ์ แต่ไอ้สิ่งที่เขาเติบโตมานั่นแหละ ทำให้ไม่รู้จักใจตัวเอง
คำตอบทั้งหลายคลี่คลายวันนี้เอง ไอ้ความสุขที่ไม่จีรัง ความกระวนกระวาย ความเหงาว้าเหว่บ้าบอคอแตกเมื่อสองปีที่ผ่านมาก็เพราะอารมณ์ถวิลหาถึงทอมนั่นแหละ
ภาพทอมในชุดราตรีสโมสรสีดำเข้มเรียบสะอาดเมื่อครู่ติดตาติดใจ แม้สัมผัสเมื่อครู่ก็เรียกอารมณ์หวาบหวานอ่อนโยนในอดีตให้หวนกลับมาจนแทบจะทนไม่ได้ คริสดับไฟหน้ารถ ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย เดวิด(คนขับรถประจำตำแหน่ง)ยืนจ้องอยู่ที่ประตู…ช่างหัวคนขับรถมัน…หัวใจเหมือนจะขาดรอน
คริสกำมือทั้งสองเข้าหากันแน่นเขม็ง โกรธ ผิดหวัง เจ็บช้ำและท้ายสุด เมื่อเดินขึ้นบ้าน อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด เดวิดถอยกรูด รับกุญแจรถแทบจะไม่ทัน เสียงตวาดแก้วหูแทบชาว่า
“เตรียมรถแต่เช้านะ ฉันจะไปธุระ…”
“ครับผม ท่านจะดื่มอะไรก่อนนอนไหมครับ โกโก้ร้อน หรือนมเย็น…”
“ไม่…ไม่กินโว้ย…” เขาก้าวขึ้นบันไดแล้วตะโกนกลับลงมาว่า “เอาบรั่นดีมาให้ ทั้งขวดนะ”
“ครับผม” เดวิดถอนใจเฮือก แม่ครัวเยี่ยมหน้าตื่น ๆ มาจากข้างล่าง “ท่านเป็นอะไรนะแก ไม่เคยเห็นมึงมาพาโวยสักที”
“ไม่รู้…ผมจะรีบเอาบรั่นดีไปให้” เดวิดตอบ
“สามปีมาแล้ว เดวิดเอ๋ย ป้าว่าพิกล ๆ อยู่นะ…รีบเอาของขึ้นไปให้ท่านเถอะ”
เดวิดรับคำมือไม้สั่น กลัว ๆ กล้า ๆ พิกล หากเมื่อกลับขึ้นไปรอบสองอย่างเป็นห่วง
“ป้า…เหล้าหมดไปตั้งแยะ…ท่านนอนแผ่อยู่บนเตียงทั้งชุดราตรีสโมสรนะ รองเท้าถุงเท้ายังครบชุด ทำไงดี”
“ก็แกกับฉันนะสิ”
“ไปด้วยกัน…นายของฉัน ๆ เลี้ยงมากับมือ แกจะขึ้นมาช่วยป้าไหมล่ะ”
หลังกลับจากงานเลี้ยง ทอมนอนซุกตัวอยู่บนเตียงอันอบอุ่น ไม่อยากจะลุกขึ้นมาเลย เขาไม่อยากจะพบเจ้าของรถสีดำคันนั้น ยังไม่พร้อมเผชิญหน้าด้วยอารมณ์ซับซ้อนหลายอย่างนัก
เจ็บแค้น…อาวรณ์…ถวิลหา…ชอกช้ำ มันคละเคล้ากันไป จนเขาสุดจะทน แล้วภาพต่าง ๆ ในอดีตก็ผุดขึ้นมาเป็นระลอก ภาพวันคืนแห่งความหวานชื่นของเขาและคริส สัมผัสทุกตารางนิ้วบนร่างกายของเขา แม้มันจะผ่านมาสามปี ทอมก็ยังรู้สึกราวกับว่าเขาสัมผัสมันเมื่อวานนี้…สัมผัสนั้นยังอ่อนหวานเป็นความรู้สึกที่เขาไม่มีวันลืม
ทำงานมาตลอดห้าวัน คนเรามันต้องมีเวลาพักผ่อนบ้าง เขาอาบน้ำแต่งตัว ขับรถเพื่อออกไปหาอาหารทาน และพักผ่อนอ่านหนังสือในเซ็นทรัลปาร์คสวนสาธารณะของเมือง
“ทอม“ เสียงเขาห้วนขึ้นมาเล็กน้อย ทอมเซไปนิดหนึ่งเมื่อถูกลากตัวเข้ามาจนชิดร่างสูงใหญ่นั้น รถสีดำเป็นมันจอดอยู่ตรงนั้นเอง
เสียงของคริสเฉียบขาดเมื่อสั่งกับคนขับรถว่า “เอาสตางค์ไปนะเดวิด ร้านกาแฟหัวมุมทางโน้น แกหาอะไรกินแล้วไม่ต้องมา ฉันจะเอารถไปรับเอง”
ทอมขัดขึ้น หากไม่อาจดิ้นให้หลุดจากมือแข็งแรงได้ดังใจนึก เกรงสายตาคนผ่านไปมา เสียงคริสปรามเขาว่า “รถของผมติดป้าย ซี.ดี. รถคณะทูตนะคุณ อย่าให้ชาวบ้านเอาไปซุบซิบได้ว่ารถคณะทูตฉุดคุณขึ้นรถก็แล้วกัน”
เขาหายใจหอบ ไออุ่นในรถวูบเข้าทันทีที่ก้าวขึ้นไปนั่งอย่างขัดใจ คริสตามขึ้นไป ปิดประตูสนิทแน่น ดวงตาคมจ้องใบหน้าของเขาเขม็ง หน้าขาวนวลสีน้ำนมอ่อนวัยไม่ต่างกับอดีตเท่าไรนัก คริสถอนหายใจเฮือก เพียรเก็บอารมณ์ปรารถนาล้ำลึกอย่างอดทน ถ้าไม่เกรงว่าทอมจะผลุนผลันลงจากรถเสียก่อน เขาคงรวบร่างทอมเข้ามากอดแล้ว
อยากจะจูบให้หายคิดถึง หายอาวรณ์ถวิลหา ที่เพิ่งจะรู้ใจตัวเองก็ครั้งนี้…อยากจะบอกว่าสามปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีความสุขที่แท้จริงกับใครคนไหนเลย นอกจากทอมเท่านั้น ขอให้เขาได้มีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้งเถิด
คำพูดเหล่านั้นออกมารอที่ริมฝีปาก แล้วหายกลับลงไปอีก เมื่อเห็นสายตากร้าวแข็งของทอมไม่อ่อนลงแม้สักนิดเดียว มันยังคงไร้ชีวิตชีวาหมดแววหวานอย่างที่เขาเคยจำได้
“ปล่อย…” ทอมร้องเบา ๆ
“เรามีเรื่องจะต้องพูดกัน ตราบใดที่คุณยังไม่มีใครใหม่…ผมมีสิทธิ์ทางใจที่เราเคย….” คริสเอ่ย
“ผมจะกลับบ้าน…ไม่สนุกนักหรอก ถ้าคุณจะมาตามรบกวนชีวิตผมแบบนี้” ทอมขึ้นเสียง
“ผมไม่ได้กวน…” เขาปฎิเสธเสียงห้วนจัดขึ้นมาบ้าง จนทอมนึกเกรง
“ให้โอกาสผมบ้างสิทอม…ผมรักคุณนะ อยากจะขอแก้ตัวอีกสักครั้ง ได้โปรดเถอะ…ขอให้เข้าใจผมบ้าง”
พูดออกไปแล้ว เขาก็ประหลาดใจที่กล่าวออกไปได้อย่างไรกัน มันคงอัดอั้นเต็มที่นั่นเอง…ทรมานสิ้นดี แต่จะให้ทิ้งทอมแล้วลืมเขาก็ทำไม่ได้เสียแล้ว บอกว่าคนเดียวในโลกที่เขาต้องการไม่ใช้ใครอื่น ก็ทอมนั่นแหละ
“ผมไม่มีโอกาสอื่นจะให้ใครอีกแล้วครับ” ทอมแทบไม่รู้ตัวว่าพูดออกไปได้อย่างไร
“ทำไม” เสียงคริสแหบพร่า หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปกับคำตอบนั้น
“ผมจะแต่งงาน” ทอมตอบกลับ
“บ้า” เขาพลั้งปาก แล้วจึงรู้สึกตัว มือกำรอบแขนของทอมแน่นเขม็ง “เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อ…คุณจะรักใครได้อีก”
ทอมหัวเราะเสียงเย็น “ได้โปรดเถอะครับ อย่ายุ่งอย่ากวนผมอีก”
“ทอม…” คริสแทบจะตะโกนถ้าทำได้ อารมณ์พลุ่งพล่านราวน้ำเดือด เขารวบร่างของทอมเข้ามาหาแผ่นอกกว้าง ครั้งนี้ทอมไม่ได้ขัดขืนหรือดิ้นรน เหมือนหุ่นไร้ชีวิตชีวา มิใยที่เขาจะรุกรานกอดจูบเหมือนคนบ้าคลั่งก็ตาม
คริสประทับจูบลงบนกลีบปางบางนั้นอย่างรุนแรง เขาจูบทอมที่ปาก คาง แก้มและซอกคอ ทอมก็ยังคงเหมือนหุ่นอยู่นั่นเอง เขาเองที่เป็นฝ่ายถอนกลับ เจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
“ผมจะกลับได้หรือยังครับ” ทอมถามหน้าตาเฉย
“บ้า…คุณนะบ้าที่สุด” คริสคำรามเสียงกร้าว “คุณไม่ได้รักใครแน่ ๆ ผมรู้นะ ไม่งั้นคุณจะยอมอยู่ตามลำพังมานานขนาดนี้เลยหรือ”
ทอมตรงไปที่รถคันเล็ก ๆ ของเขา คริสมองตามรถคันนั้นไปจนลับสายตา ความรู้สึกของเขาเหมือนคนเรือแตกกลางทะเลเวิ้งว้าง
ทอมอดน้ำตาซึมออกมาไม่ได้ เขาถอยหลังลงไปนอนบนเตียงอยู่อย่างนั้น ไม่มีจิตใจที่จะทำอะไรทั้งสิ้น
เขายังคงไม่ถอย หลังจากเลิกงานเขาตามไปหาทอมถึงบ้าน เขากดกริ่งหน้าประตู หวังในใจว่าทอมคงยอมมาเปิดประตูให้เขานะ
ร่างสูงใหญ่จับจ้องไปยังประตูบานนั้นเขม็ง ทอมเปิดประตูออกมาแล้วต้องตกใจยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เมื่อได้สติจะดันประตูปิดแต่คริสแทรกตัวเข้ามาเสียก่อน
“ผมจะโทรศัพท์บอกตำรวจนะครับว่า ผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติบุกรุกเข้ามาในที่พักของผม”
“ทอม” คริสรวบต้นแขนทั้งคู่ของเขาไว้แน่นเขม็ง จนเขานิ่วหน้าคริสจึงคลายมือออกเล็กน้อย เขาจึงสะบัดหลุด วิ่งเข้าห้องนอนแล้วดึงประตูปิดตามอย่างว่องไว หากแต่คริสยื่นเท้าไปสกัดไว้อย่างคล่องแคล่ว
ทอมถอยไปจนชิดเตียง ขึ้นเสียงเกรี้ยวกราดว่า “อวดดีอะไรถึงเข้ามาในนี้…ออกไปนะ…ผมจะโทรบอกตำรวจเดี๋ยวนี้ละ”
“โทรไปสิ” เสียงคริสกร้าวขึ้นมาบ้าง ดวงตาคมจัดสีฟ้าใสวาววับพลุ่งพล่านจนสุดระงับ “ผมจะบอกคนทั้งโลก…ทั้งยู.เอ็น. ว่าคุณกับผมเป็นอะไรกัน ผมไม่กลัวหรอกนะว่าใครจะแฉความเลวของผม ผมไม่ได้ทอดทิ้งคุณ จะให้ผมขอโทษสักกี่พันกี่หมื่นครั้งก็ยอม ขอให้พูดกันอย่างมีเหตุผลบ้างเถิดทอม”
“ยังไม่สายเกินไปไม่ใช่หรือทอม” ร่างสูงใหญ่ของคริสก้าวเข้ามาใกล้
“ผมรักคุณ ผมอยู่อย่างนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณนะทอม คุณล่ะ…ความรักของเรายังไม่เหือดหายไม่ใช่หรือ”
“ผมไม่มี…ไม่มีอะไรเหลือในใจสำหรับคุณอีกแล้วครับ” ทอมตอบเสียงเครือ
“ไม่จริง” มือใหญ่แข็งแรงเอื้อมมาเชยคางเขาอย่างเบามือ
“ผมรู้ว่าคุณก็รักผม…พูดจากใจของคุณจริง ๆ เถอะว่า คุณไม่รักผม” เสียงคริสคาดคั้น
ทอมเบือนหน้าหนี หันหลังให้ เสียงสะอื้นลอดมาเข้าหู คริสก้าวเข้าไปอีกนิด สอดแขนไปรอบเอวเล็กกลมกลึงของทอม แผ่นอกกว้างของเขาแนบอยู่กับหลังของทอม อบอุ่นวาบหวานไปทั่วหัวใจ สัมผัสนี้เองที่เรียกความทรงจำเก่า ๆ ให้คืนกลับมา ทอมยังคงเรียกแรงปรารถนาให้เกิดขึ้นในหัวใจเขาทุกครั้งที่ใกล้ชิดกันอย่างนี้ ทอมมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกเขามาก
คริสกดปลายคางลงบนกลุ่มผมอ่อนนิ่มของเขา ยังจำวันเก่า ๆ ได้ไม่รู้ลืม เมื่อคริสกระซิบว่า “ให้โอกาสผมอีกสักครั้งได้ไหมทอม…โอกาสที่เราจะทำความเข้าใจกันและกัน เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของผมที่มีต่อคุณ”
ทอมเบี่ยงกายหนี นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมเตียงตามลำพัง โต๊ะตัวเล็กไม่ไกลจากเตียงนั้น มีภาพถ่ายของทอมวันรับปริญญา เป็นภาพที่เขาเห็นแล้วต้องสะท้อนใจ ภาพที่เขาไม่มีโอกาสได้ยืนเคียงข้าง…ภาพของทอมขณะรับปริญญา
“กลับไปเถอะครับ ผมเข้าใจ ผมให้อภัย” ทอมบอกพร้อมเสียงสะอื้น
“เราจะเริ่มต้นกันใหม่ คุณจะให้โอกาสนั้นกับผมบ้างไหมทอม”
“ทอม” คริสรวบร่างของเขาเข้ามากอดไว้มั่น “คุณพยายามปิดบังความรู้สึกของตัวเองไปทำไมกันนะ ทรมานตนเองไปทำไมกัน ผมรักคุณและคุณก็รักผม…อย่าปฎิเสธเลย ผมรู้ว่าคุณเจ็บใจผมหรอกนะ แต่คุณก็ยังรักผมอยู่… เหมือนวันนั้น…จำได้ไหมทอม..ในกระท่อมบนเขากลางป่าสน…สวิช ชาเลห์ หลังนั้น คุณบอกผมว่าคุณรักผม…จำได้ไหม ถ้ามีโอกาสเราจะไปที่นั่นกัน คืนนั้น…ผมมีความสุขที่สุด”
เสียงสะอื้นลอดมาเข้าหู ดูเหมือนทอมจะร้องไห้มากขึ้น คริสจูบที่หน้าผากและแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา ความหวังดูจะรำไรขึ้นทีละน้อย ทอมไม่ได้แข็งแกร่งเช่นวันโน้น ที่เซ็นทรัลปาร์ค
“เราจะแต่งงานกัน” เขากระซิบที่ริมหูของทอม
ทอมผละจากอ้อมกอดนั้น ดวงตาแดงช้ำมากขึ้นเมื่อตอบไปว่า “ผมแต่งงานกับคุณไม่ได้หรอกครับ”
“ทำไม” คริสยอมรับว่าเขาตกใจสุดขีด นิ่งอึ้ง มองทอมด้วยความรู้สึกสับสนบอกไม่ถูก
เขาหมุนปุ่มเล็ก ๆ บนเครื่องรับ เสียงของทอมชัดแจ๋ว กำลังแปลคำพูดของผู้แทนจากเยอรมันตะวันตกออกเป็นภาษาสเปน สำเนียงเพราะน่าฟังเช่นเคย เขานึกดีใจอยู่บ้างที่สามารถฟังภาษานั้นรู้เรื่อง ดีใจต่อไปว่าเขาเตรียมตัวที่จะดักพบทอมหลังเลิกงานวันนี้
เขาลุกจากเก้าอี้ที่นั่งประชุมมาตลอดบ่าย เมื่อยล้าทั้งสมองและใจ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพบทอมให้ได้ เขาเลี่ยงลงทางประตูข้าง ทอมใช้ทางออกทางนั้นเสมอจนเขาจำได้
“ทอม” คริสร้องเรียกออกไปค่อนข้างดัง ทอมกำลังรอเรียกรถแท็กซี่ เขาส่งเงินให้คนขับสั่งเร็ว ๆ ว่า “กลับบ้านเองนะเดวิด…”
“ท่าน…ท่านล่ะครับ” เดวิดทำเสียงอึกอัก
“ส่งกุญแจรถมา แกนี่พูดไม่รู้เรื่อง แกกลับบ้าน ฉันก็ขับรถของฉันเองนะสิ” เขาขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว รับกุญแจจากคนขับพารถพุ่งปราดไปจอดเทียบทางเท้าข้างหน้า ทอมถอยหลังกลับไปนิดหนึ่ง เมื่อรถที่เขาขับปราดเข้ามาเกือบจะใกล้ตัว แล้วทอมก็ถอนใจเฮือกทำท่าจะเดินหนี หากคริสไวกว่า เขาลงจากรถยึดข้อมือทอมไว้ได้ทัน บอกเสียงเรียบ ๆ ว่า
“คุณจะไปไหน ผมจะไปส่ง”
“กลับบ้านครับ ไม่ต้องก็ได้ แท็กซี่ถมไป” ทอมยังไม่ขยับ
“ผมจะไปส่ง” เขาย้ำความตั้งใจเดิม “ป้ายเหลือง ผมจอดนานไม่ได้ ขึ้นมาเถอะ”
ทอมชั่งใจชั่วครู่ ก่อนจะก้าวขึ้นรถอย่างหงุดหงิด ดึงประตูปิดค่อนข้างแรงจนคริสรู้สึก เขาอ้อมกลับไปประจำที่คนขับ พารถวิ่งช้า ๆ ไปตามถนน จนเขาแปลกใจ “จะไปไหนครับนี่”
“ห้องของเรา” เขาเล่าด้วยเสียงแจ่มใส “ผมสั่งเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งห้องใหม่ แม่บ้านจัดเสร็จพอดี ผมก็เลยจะพาคุณไปดูว่าชอบไหม”
“ผมจะกลับบ้าน” ทอมปฎิเสธเสียงเรียบ
เขาแอบรถเข้าข้างทาง ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องที่ใบหน้าของทอม “ผมรู้ว่าคุณไม่มีความสุข”
ทอมหัวเราะเสียงเยาะหยัน “คุณพูดเองนะสิครับ ใครว่าผมไม่มีความสุข”
“นัยน์ตาของคุณ” เขาตอบ “ถึงคุณจะซ่อนไว้เพียงไร ลูกนัยน์ตาของคุณก็ฟ้องตัวเอง…ซ่อนอะไรก็ได้ แต่ซ่อนแววตาตัวเองไม่มิดหรอก”
ทอมมีทิฐิ…และผยองเกินกว่าจะกลับไปหาเขา ความรู้สึกนั้นคงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่เขาจากมา
“ไปทานข้าวบ้านผมสักมื้อนะทอม” เสียงอ้อนวอนในทีดังเข้าหูเขาอีกครั้ง “ผมเข้าใจ ว่าคุณยังโกรธ เกลียด เจ็บแค้นผมสารพัด” แต่ผมขอร้องนะ
ทอมกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่รี่ขึ้นมาในลำคอลงอย่างเยือกเย็น น้ำตาเจ้ากรรมอีกเช่นเคยที่พราวอยู่ในดวงตา รู้ว่าเขากำลังล่อหลอก ก่อนจะปฎิเสธออกไปว่า “ผมยังไม่พร้อมไปบ้านคุณในตอนนี้ครับ ถ้าไม่มีอะไร ผมขอเรียกแท็กซี่กลับบ้านนะครับ”
ทอมแกร่งขึ้นกว่าเดิมหรือแกร่งอย่างนี้มาก่อนเขาก็สุดรู้ “ผมจะไปส่งคุณที่ที่พักเอง” เขาบอกเสียงขุ่น
“คุณจะมาเสียเวลากับผมอีกทำไมครับ” ทอมถามเสียงขื่น
“เรื่องของคุณกับผม ไม่มีการเสียเวลา” คริสตอบกลับเสียงขื่น โกรธทอมจนบอกไม่ถูก สุดท้าย เขาผู้ไม่เคยก้มหัวหรืออ่อนข้อให้คนไหนในโลก ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ทอม คนที่นั่งข้าง ๆ เขาขณะนี้ เขาจะไม่มีวันเป็นเจ้าของทอมจนชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ
“ขอบคุณครับ” ทอมกล่าวก่อนลงจากรถ
เมื่อถึงห้องนอน ปิดประตูแล้วนั่นแหละ ทอมก็หมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงพรมหน้าเตียงนั่นเอง น้ำตาอุ่นจัดซึมผ่านร่องแก้มหยดลงสู่มือ อารมณ์หลายอย่างประดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน ทำไมเขาจะต้องร้องไห้ นึกถึงแต่เขาคนนั้นร่ำไป…ผู้ชายที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดรวดร้าวจนบัดนี้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น
ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่ปรากฏกายให้เห็น ไม่ตระเวนติดตามเขาเหมือนเงา ทอมป้ายน้ำตาทิ้งทั้ง ๆ ยังสะอื้น ล้างหน้าเปลี่ยนมานุ่งกางเกงสบาย ๆ แล้วออกจากห้องไปนั่งเปิดดูรายการโทรทัศน์ที่เขาชอบ ๆ ไปเรื่อย เพื่อจะได้ไม่มีจิตใจมาคิดถึงคนใจร้ายคนนั้นอีก
ทอมกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทาง จะมีประชุมที่เวียนนาสามวัน ทำงานเสร็จแล้วมีเวลาเหลือพอ เขาจะเลยไปเวนิซเพื่อพักผ่อนจนหมดวันลาก่อนกลับ
เขาโทรไปหาทอมที่ทำงาน พนักงานรับสายแจ้งว่าทอมไปประชุมที่เวียนนาเป็นเวลาสามวัน ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืน เขาสบถอยู่ในใจ เม้มปากแน่นสนิท ความผิดหวังแล่นปราดอยู่ในจิตสำนึก ทอมพยามยามหนีเขาจนได้ “ทอม…เขาเรียกชื่อทอมอยู่ในใจอย่างเจ็บปวด” ก่อนจะเอ่ยขอบคุณพนักงานรับสายไป
คริสรู้สึกหัวใจเต้นถี่ ช่วงนี้งานยุ่งมากขอเคลียร์ให้เสร็จก่อน เขาจัดการสั่งแม่บ้านให้เก็บเสื้อผ้าให้พร้อม อีกสองวันเขาจะไปเวนิซ
“ขอเบียร์เย็น ๆ หน่อยเดวิด” เขาร้องสั่ง “ฉันจะทำงานต่อในห้องนอนนี่”
เตียงนอนใหญ่ขนาดนอนได้สองคน คลุมด้วยผ้าสีฟ้ากลมกลืนกับสีพรมที่ปูเต็มห้องนอนและม่านยาวจรดพื้นสีเดียวกับที่เขาเคยใช้ที่เวียนนา วันที่ทอมป่วยเป็นไข้หวัดรุนแรง และเขาเป็นผู้ไปรับมารักษา ถ้าทอมรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อครั้งกระนั้นทอมจะโกรธสักเพียงไหนหนอ
คริสมาถึงเวนิซตามกำหนดที่กะไว้เรียบร้อยทุกประการ โรงแรมที่พักเขาจัดการจองไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาเช็คไปที่ประชุม ทอมจะมากับพวกประชุม ถึงอย่างช้าก็พรุ่งนี้ เขาเช็คไปโรงแรมที่พวกประชุมจองล่วงหน้าจะมาพัก แต่ไม่มีชื่อของทอม คริสอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาทันที หรือทอมจะเปลี่ยนไปที่อื่นแทนที่จะตรงมาเวนิซอย่างพวกประชุม
เขาปิดประตูลงนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น โรงแรมที่ติดต่อไปบอกว่า พวกประชุมกลุ่มนั้นจะมาถึงในตอนบ่ายวันนี้ แต่ไม่ปรากฏชื่อของทอมร่วมอยู่ด้วย
เขาผุดลุกขึ้นเตรียมตัวไปเดินเล่นข้างล่างเพื่อคลายความกังวลใจ โรงแรมที่พักคนพลุกพล่าน เรือกอนโดล่าพายเอื่อยผ่านไปมา คริสส่ายหน้ากับตัวเอง ทอมไปที่ไหนหนอ…
หัวคิ้วเข้มของเขาขมวดเขม็ง ขณะแลปราดไปที่เขื่อนริมคลอง หัวใจเต้นโครมครามแทบจะพังออกมานอกทรวงอก ตาทั้งคู่จับอยู่ที่ร่างสูงโปร่งข้างหน้า กางเกงยีนส์ขายาวพร้อมเสื้อสีฟ้าอ่อนพร้อมเป้สะพายอยู่บนไหล่ เท้าทั้งคู่ของคริสก้าวไปข้างหน้า เขาจำได้แม้ว่าทอมจะหันหลังให้
ท่ายืนทอดอารมณ์ของทอมบอกว่ากำลังสบายอย่างมากมาย เขาก้าวไปจนเกือบประชิดตัว ทอมก็หารู้สึกไม่ แก้มนวลเบือนมาทางเขาเล็กน้อย คริสยกมือแตะแขนของทอม พยายามระงับไม่ให้มันสั่น แต่ก็ยากนัก
ทอมหันขวับมาทันที ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้างอย่างตกใจเต็มที่ อุทานออกไปว่า “คุณ…คุณคริส”
เขารวบแขนข้างนั้นไว้ ทอมหน้าตึง
“อย่าเอะอะไป ตำรวจมองอยู่ทางโน้น คุณคงไม่อยากเห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่นี่หรอกนะว่า นักการทูตฯลวนลามผู้ชายริมคลองเวนิซ”
ทอมนิ่งอึ้ง ริมฝีปากเม้นเข้าหากันแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณตามผมมาทำไมกัน คุณจะกวนผมไปถึงไหนกันนะนี่”
“ทอม” คริสเลื่อนแขนลงโอบรอบเอวเขาไว้ ขืนตัวพาเดินต่อไปจนได้ “คุณจะอายผู้คนไปทำไมกัน ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ฮันนีมูน ไม่มีใครเขาตำหนิหรอก ถ้าผัวจะโอบเอวเมีย เดินชมคลองที่เวนิซนะ”
“ผมไม่ได้เป็น…อะไรอย่างที่คุณว่านะ” ทอมเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “กับคุณ…”
“คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เรามีอะไร ๆ ด้วยกันนะ…ไม่เป็นผัวเมียก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้วล่ะที่มันชัดแจ้งกว่านี้” คริสยิ้ม ๆ
“ผมรู้ดีว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ก็ผมยอมรับผิดทุกประการแล้วไงว่า มันเป็นความเข้าใจผิด ความโง่เขลาของผมเองแท้ ๆ”
“ผมรักคุณ ได้ยินหรือเปล่า เมื่อก่อนอาจไม่รู้ตัว แต่พอจากกันแล้วผมถึงได้เรียนรู้…ปล่อยอดีตไปเถอะนะทอม เรามีโอกาสที่จะเริ่มต้นกันใหม่ไม่ใช่หรือ”
“ผมยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครทั้งนั้น”
“ผมไม่เร่งรัด” เขายอมแพ้ในที่สุด
“คุณพักที่ไหน ผมโทรถามโรงแรมตั้งหลายแห่งก็ไม่พบ คุณไม่ได้เข้าประชุมหรอกรึ” เขายืนใกล้ทอมจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวทอมที่เขาชอบลอยมาเข้าจมูก
“ผมไม่ได้เข้าประชุมวันสุดท้าย” ทอมไม่อยากจะบอกว่า พระราชวังฮัปสบวร์ก ที่ประชุมนานาชาตินั้น ก็เหมือนอีกหลาย ๆ แห่งในกรุงเวียนนาที่ช่วยรื้ออดีตให้แจ่มชัดขึ้น…อดีตระหว่างคริสและเขา ท้ายที่สุดเป็นเขาเองที่ต้องเผ่นมาที่นี่ก่อนที่ประชุมเลิกด้วยซ้ำ
“นั่นสิ ผมถึงตามหาคุณไม่เจอในรายชื่อพวกประชุมที่จะมาถึงบ่ายวันนี้” คริสลูบไล้ต้นแขนกลมกลึงของทอมอย่างเบามือ
“หน้าคุณแดงเรื่อ ตัวคุณก็อุ่น ๆ เป็นไข้หรือเปล่านี่ เดี๋ยวผมพาขึ้นไปพักบนห้องผมก่อนดีกว่าอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง” คริสบอกด้วยความห่วงใย
“เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อยาให้ แล้วจะเลยไปเก็บของให้คุณด้วย เอากุญแจห้องมาสิ”
ทอมจำใจต้องส่งกุญแจห้องให้เขา บอกโดยไม่ยอมสบตาว่า “ผมยังไม่ได้จ่ายค่าห้องครับ เงินอยู่ในกระเป๋า”
เขารับกุญแจไป แต่ไม่ได้หยิบเงินค่าห้องอย่างที่ทอมบอกไว้ เขากลับมาอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางของทอม
เขาปลุกให้ทอมลุกขึ้นมาทานยา ก่อนจะให้นอนพักผ่อนต่อ เขาเลี่ยงออกไปนั่งเก้าอี้ที่มุมห้อง นึกอยากสูบบุหรี่ แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนคนป่วย…ดวงตาคมจับอยู่ที่ร่างโปร่งบางที่นอนอยู่บนเตียงของเขา นั่นคือคนที่เขารัก ภาพงดงามที่ฝันมานาน ไม่คิดว่าจะให้ความสุขแก่หัวใจได้มากขนาดนี้
คริสเข้าห้องอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกาย เปลี่ยนจากชุดเดินทางมาเป็นชุดลำลอง แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ โอบทอมไว้ด้วยวงแขนล่ำ “ทอม ผมรักคุณ..อย่าไปไหนอีกเลยนะ อยู่กับผมเถอะ ผมทนเห็นคุณไปไหน ๆ คนละทางกับผมไม่ได้” เสียงกระซิบข้างหู
ใบหน้าของคริสแนบลงบนผิวแก้มนวลของเขา ทอมสะท้านเยือก สัมผัสนั้นเรียกอดีตหวานชื่นให้กลับคืนมาอีกครั้ง
คริสยังไม่คลายอ้อมแขนที่โอบรัดไว้ จมูกโด่งงามของเขาซุกไซ้ไปบนผิวแก้มเนียน เสียงกระซิบข้างหู “กลับไปนี่เราแต่งงานกันนะ ผมอยากทำให้ถูกต้องสมบูรณ์เสียที”
“ผมจะพาคุณไปนั่งเรือกอนโดล่า แล้วจะพากลับไปเวียนนา ไปดูดานูบสีน้ำเงินก่อนบินกลับนิวยอร์ค ผมอยากเห็นเมืองนั้นอีกสักครั้ง…เมืองที่เรารักกัน…”
ทอมซุกหน้ากับไหล่ของเขา ปล่อยน้ำตาให้ไหลซึมผ่านร่องแก้มช้า ๆ เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา คริสคลายอ้อมแขน จุมพิตที่แก้มเนียนก่อนจะคลี่ผ้าห่มคลุมให้
ชั่วชีวิตหนึ่งของคน… กับการรักใครสักคนอย่างจริงจังและเป็นที่รักของบุคคลนั้น…
*********************************************************************************
Wachua
วาเคา(Wachua) คือดินแดนช่วงสั้นๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำดานูบ (เพียง 22 ไมล์จากความยาวทั้งสิ้น 1,740 ไมล์ ) ที่มีลักษณะภูมิทัศน์หลากหลาย มีโบราณสถานทางวัฒนธรรมและหมู่สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ ตามเมืองเล็กเมืองน้อยเรียงรายตลอดสองฝั่งแม่น้ำ
ลักษณะที่สร้างความโดด เด่นให้แก่วาเคา คือ ความงามตามธรรมชาติ ทั้งสายน้ำดานูบที่คดเคี้ยว ทุ่งหญ้าและพุ่มไม้ เขียวชอุ่มริมฝั่ง และความงามที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ไร่องุ่นขั้นบันได หมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัว ฟาร์ม โบสถ์ ปราสาท และซากโบราณสถาน ความพิเศษของภูมิทัศน์เป็นผลจากทิวทัศน์งดงามโดยการแต่งแต้มของอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่เหนือริมฝั่งตลิ่งสูงชัน