เม้ามอยแดร็กคิวล่า (เกริ่นนำ)

Wayward Pilas

พักเรื่องเรียนไว้แป๊บ มาไร้สาระกันเถอะค่ะ มานินทามนุษย์ผู้โด่งดังที่สุดในโรมาเนียดีกว่า 55

เอาประวัติคร่าวแบบคร่าวมากก่อนนะคะ เพราะเดี๋ยวแต่ละสถานที่ เราจะแยกเขียนเป็นตอนๆอีกทีนึง จะอธิบายตั้งแต่วิธีการเดินทาง ซื้อตั๋วและอื่นๆเลยจ้า  ออกตัวไว้ก่อนว่าจุดรวบรวมความทรงจำของท่านแดร็กอาจเขียนได้ไม่หมด เพราะแกเป็นเจ้าชายนักรบ แกไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ กล่าวได้ว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับแกแทบทุกที่ในโรมาเนียเลยเชียวค่ะ  ถ้านึกออกจะมาเพิ่มให้ทีหลังนะคะ

6C6EAD2A-323A-4F9C-860A-67AC7D607AAA

Wladislaus Dragkwlya หรือรู้จักกันในนาม Vlad Țepeș (วลาด นักเสียบ) ต้นฉบับท่านเค้านท์แดร็กคิวล่าในนิยายของบราม สโตลค์เกอร์

ในความเป็นจริงแล้ว Wladislaus Dragkwlya เจ้าชายแห่งแคว้นวัลลาเคียนั้นมีคุณูปการในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากอาณาจักรออตโตมัน อารมณ์เทียบเท่านเรศวรบ้านเรา ต่างกันตรงที่แกยังทำไม่สำเร็จโดนน้องชายฆ่าตายก่อน (น้องเข้ากับออตโตมัน) แต่ลูกพี่ลูกน้องแก Stefan Cel Mare กระทำการสำเร็จค่ะ อนึ่ง Cel Mare (เชล มาเร่) นั้น มีความหมายคือ The great หรือมหาราชนั่นเองค่ะ

จริงๆประวัติและสิ่งก่อสร้างของ Stefan Cel Mare ก็สนุกและสวยมาก เป็นมรดกโลกด้วยนะ แต่ไว้เขียนเล่าทีหลังค่ะ เพราะแกเป็นบุรุษที่ถูกเคลมจากสองประเทศว่าเป็นของใครกันแน่ เนื่องจากแผ่นดินที่แกเกิดและปกครองในปัจจุบันได้กลายเป็นประเทศมอลโดว่าไปแล้ว

นอกเรื่องเจ้าชายวลาดไปเยอะแล้ว ขอกลับมาแนะนำต่อละกันค่า

1. Sighișoara

เยี่ยมชมดินแดนบ้านเกิดแดร็กคิวล่าที่เมือง Sighișoara (ซิกิชชัวร่า) เป็นเมืองโบร่ำโบราณของแคว้นทรานซิลวาเนีย (Transylvania)

โด่งดังจากการเป็นบ้านเกิดของท่าน Wladislaus Dragkwlya (รู้จักกันในนาม Vlad Țepeș หรือวลาดนักเสียบ ต้นแบบตัวละครแดร็กคิวล่า) เป็นเมืองที่สวยน่ารักมาก บ้านสีเหลืองข้างล่างเป็นบ้านที่ท่านแดร็คถือกำเนิดขึ้นค่ะ ปัจจุบันเป็นร้านอาหาร

22D12B34-899B-4AED-9B8C-F84F6B5528F6.jpeg

2. Castelul Bran ปราสาทแดร็กคิวล่าในนิยาย

อันนี้คือปราสาทแดร็กคิวล่าอันโด่งดังจากนิยายของ Bram Stoker เลยมีนักท่องเที่ยวอยากมาเยี่ยมชมมากมายก่ายกอง แต่ในความเป็นจริงแล้วที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับ Valad Țepeș แค่ที่ตั้งก็อยู่คนละทิศกะวังจริงและกองทัพแกแล้วจ้ะ คุณ Bram แกเห็นภาพปราสาทนี้ละได้ไอเดียโดยตัวแกเองก็ไม่เคยไปแต่อย่างใดเหมือนกัน

587AEE36-E41E-405D-BF01-A2B45C651BB9

3. .Cetatea Poenari ปราสาทแดร็กคิวล่าของจริงจ้ะ 

จริงๆแล้ว Cetatea Poenari เป็นของหัสเดิมเริ่มแรกของผู้ปกครองแคว้น Wallachia อยู่แล้วตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 Vlad Țepeș หรือเพ่ Dracula มา renovate ใหม่ในศตวรรษที่ 15 และใช้เป็นปราสาทพักพิงเป็นจริงเป็นจังระหว่างปกครองและหลบหนีศัตรูจ้าาาาาาาา ที่นี่จึงถือเป็นปราสาทแดร็กคิวล่าของจริง

ปล. งานขึ้นบันไดเหนื่อยมาก ชันมาก ไฟท์มากเพื่อมาดูซากปรักหักพังจ้ะ

414EFE81-B932-4C82-BDCA-87D9E2C81829

4. Târgoviște (เซอโกวิชเต้) หรือบางทีเขียน Tîrgoviște แล้วแต่อารมณ์และทรงผม

สถานที่นี้แหละที่เป็นที่มาให้เจ้าชายวลาดแกได้สมญานามว่า Vlad Țepeș วลาดนักเสียบ

ดินแดนตรงนี้เป็นดินแดนที่เกิด Atacul de noapte de la Târgoviște (การโจมตีกลางคืนที่ Târgoviște) ขึ้นในปี 1462  เป็นที่ๆวลาดจับชางเติร์กเสียบไม้เบ่งบานเต็มท้องทุ่งอยู่ราวๆ 20,000 คนจ้ะ ก็เป็นความสยองที่ unique และครีเอทมากๆเลยทีเดียว บรึ๋ยยยย

3B0C5F2D-3335-430E-9017-35EF126F3C4E

5. Curtea Veche คือพระราชฐานของเจ้าชาย Vlad Țepeș III หรือ Dracula ในบูคาเรสต์ ข้างๆจะมีโบสถ์ที่เจ้าชายสร้างไว้ด้วยค่ะ…

View original post 51 more words

Biggest “Supermoon”

m01

 

          This full moon will be not only the closest and brightest Supermoon of November 14, 2016 but also the largest since 1948, What’s more, the full moon won’t come this close to Earth again until November 25, 2034.
 
 
           คืนวันลอยกระทง วันจันทร์ที่ 14 พ.ย. 2559 Supermoon หรือปรากฏการณ์ที่พระจันทร์โคจรเข้ามาใกล้โลกมากที่สุดในรอบปี ซึ่งเราจะเรียกกันว่า “ซุปเปอร์มูน” พระจันทรจะมีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น 14 เปอร์เซ็นต์ แล้วก็จะส่องสว่างขึ้นกว่าปกติถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ ปรากฏการณ์ซุปเปอร์มูนที่พระจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้โลกที่สุด มีขนาดใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2491 หรือเมื่อ 68 ปีที่ผ่านมา หากพลาดชมในวันที่ 14 พ.ย. 59 นี้ ต้องรอไปชมในอีก 18 ปีข้างหน้าถึงจะได้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ตามการวิเคราะห์ของนักวิทยาศาสตร์ ปรากฎการณ์ซุปเปอร์มูนลักษณะนี้ จะเกิดขึ้นอีกครั้งในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2577
m03
ณ ดอยสุเทพ
m04
Sydney Harbour
m27
Sydney opera house
m05
USA
m06
NYC
m07
Yellowstone National Park
m26
Yellowstone National Park
m08
Mackey Hall
m11
Indonesia
m14
Guangzhou, China
m16
Behind the Sphinx At Egypt
m17
Above the sea At Egypt
m19
Athens
m22
Over the Potala Place
m23
Over the Potala Place
m24
NYC
m28
Metro Manila
m13
Spain
m15
Spain
m18
Behind the Soyuz rocket
m10
Road to the moon at Canada

m02

m09m20

m21

m25
And around the Globe

Travel around the world with the Biggest Supermoon.

ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป

ดวงตะวัน 1ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป

ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป พูดถึงเหล่าชนพื้นเมืองอเมริกัน (Native Americans) หรือที่เรารู้กันทั่วไปว่าชาวอินเดียน (indian) อ่านจบแล้วรู้สึกประทับใจ รู้สึกถึงหัวใจที่แข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวของนักรบ ที่ต่อสู้เพื่อแผ่นดินที่เป็นบ้านเกิดของตนเอง รู้สึกซาบซึ้งใจกับข้อความในหนังสือ ซึ่งมีเพียงคำประกาศ สุนทรพจน์ จดหมายและคำพูดอันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งและกินใจ ของชาวอินเดียน เจ้าของแผ่นดินอเมริกาเหนือตั้งแต่ดั้งเดิม ทุกบททุกตอนในหนังสือเล่มนี้ ยิ่งอ่าน

เป็นบทความที่บอกเล่าถึงยุคที่คนขาวเข้าบุกรุก ย่ำยีชาวอินเดียนทุกเผ่า ผู้ศิวิไลซ์ที่เข้าเข่นฆ่า ขับไล่ ล้างเผ่าพันธุ์ ทำขนาดนี้ยังกล้าเรียกตนเองว่าผู้เจริญ กล้าบอกว่าสิ่งที่ตัวเองทำคือความถูกต้อง ทั้งเขียนสัญญาแต่ไม่เคยรักษาสัญญา

การรุกรานของคนผิวขาวต่อชาวอินเดียน สะท้อนให้เห็นถึง “ความอยุติธรรม” ที่ผู้มีพลังอำนาจเหนือกว่ากระทำต่อผู้อ่อนแอกว่าอย่างทารุณและเอารัดเอาเปรียบ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

เหตุผลที่อินเดียนเป็นนักรบที่เก่งกล้า แต่ทำไมแพ้คนขาว ไม่ใช่เรื่องฝีมือในการรบ แต่พวกเขาพ่ายแพ้ต่อเทคโนโลยีของอาวุธสงครามปืนและปืนใหญ่ ที่นักรบพื้นเมืองขาดแคลน และการหลั่งไหลเข้ามาของคนขาวอย่างรวดเร็วมากมาย ทำให้ประชากรคนขาวกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของทวีป ทหารจึงมีกำลังในการรบมากกว่าชาวอินเดียนอย่างเปรียบเทียบไม่ได้

ชะตากรรมของชนพื้นเมืองบนทวีปแห่งนี้ สุดท้ายก็ไม่ต่างกับชนกลุ่มน้อยเกือบทุกทวีปที่กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ชนะ
อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เมื่อเปิดอ่านส่วนที่แสดงถึงความคิดของชาวอินเดียนต่อการรุกรานจากคนขาวตลอดระยะเวลาหลายร้อยปี จะยิ่งตอกย้ำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงความรู้สึกข้างในของพวกเขา

คำสัญญาที่คนขาวให้ไว้กับชาวอินเดียนว่าจะไม่รุกล้ำเข้าไปในเขตอยู่อาศัยไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะเหตุการณ์ที่เกิดซ้ำซากคือ ชาวอินเดียนถูกขับไล่เมื่อคนขาวเห็นถึงประโยชน์ของตนเองเพียงฝ่ายเดียว เช่นการพบทองคำในแบล็ค ฮิลล์ ซึ่งเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกซู และเมื่อพวกเขาขัดขืนจึงเกิดการต่อสู้ขึ้น นอกจากนี้ยังมีการออกนโยบายกำจัดพวกอินเดียนให้เร็วที่สุดในปี ค.ศ.1868 นำมาซึ่งการล้มตายจำนวนมาก แม้ว่าจะมีนักรบผู้ยิ่งใหญ่อย่าง ซิตติง บูลล์, เครซี่ ฮอร์ส และกัลล์ เอาชนะกองทัพสหรัฐฯ ได้ที่สมรภูมิลิตเติล บิกฮอร์น ถึงผลของสงครามครั้งนี้จะสร้างความอับอายให้แก่กองทัพสหรัฐฯ อย่างมหันต์ แต่สุดท้ายก็มิอาจต้านทานกองทัพสหรัฐฯได้

สุดท้ายขอยกสุนทรพจน์ของ หัวหน้าโจเซฟ แห่งเผ่าเนซ เพอร์ซ ซึ่งเป็นมาที่ของชื่อหนังสือเล่มนี้มาให้ชม

“บอกนายพลโฮเวิร์ดเถิดว่า ข้ารู้ถึงหัวใจของเขา สิ่งที่เขาบอกข้าฝังอยู่ในหัวใจของข้ามาก่อน ข้าเหนื่อยที่จะสู้รบต่อไป หัวหน้าของเราถูกฆ่าหมด ลุคกิ้ง กลาส ตายแล้ว มันเป็นเรื่องของคนหนุ่มที่จะพูดว่าสู้หรือไม่สู้ หัวหน้าผู้นำคนคนหนุ่มทั้งหลายตายไป อากาศหนาวเย็น และเราต้องการผ้าห่ม เด็ก ๆ ของเรากำลังจะหนาวตาย ประชาชนของข้าหนีไปซ่อนตัวในหุบเขา ไม่มีผ้าห่ม ไม่มีอาหาร และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน บางทีอาจจะหนาวตาย ข้าต้องการเวลาที่จะค้นหาเด็ก ๆ ของข้า และนับดูว่าเหลือรอดกี่คน บางทีข้าอาจหาพวกเขาเจอท่ามกลางซากศพ

 “จงฟังข้า หัวหน้าทั้งหลายของข้า
          หัวใจของข้าอ่อนล้าและโศกเศร้า
          ณ ที่ดวงตะวันฉายแสง ข้าจะไม่สู้รบอีกต่อไป”

ดวงตะวัน 2

ดวงตะวัน 3

ดวงตะวัน 4ดวงตะวัน 5

The Little Prince (เจ้าชายน้อย)

lit

The Little Prince เจ้าชายน้อย

จากการอ่านวรรณกรรมเรื่องนี้ ด้วยสมองและหัวใจที่รักในการอ่านสรุปได้ใจความสั้น ๆ ดังนี้ ^_^

“เจ้าชายน้อย” วรรณกรรมเยาวชน เป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาสอดแทรกไปด้วยแง่คิดในมุมมองต่าง ๆ ภายในเรื่อง มีทั้งสาระและข้อคิดดี ๆ สอดแทรกอยู่ภายใน อ่านแล้วชวนให้คิดตาม ถึงแม้จะเป็นวรรณกรรมสำหรับเด็ก แต่ในความจริงหนังสือเล่มนี้มีความล้ำลึกและปรัชญาชีวิตซ่อนไว้มากมาย

ANTOINE DE SAINT-EXUPERY ผู้เขียนพยายามถ่ายทอดความนึกคิดของตนเองผ่านตัวละคร เรื่องราวของเจ้าชายน้อยเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่มาจากดวงดาว B612 ท่องไปยังดาวดวงต่าง ๆ ที่มีทั้งพระราชา นักธุรกิจ ชายขี้เมา นักภูมิศาสตร์ คนจุดตะเกียง จนกระทั่งเขาได้เดินทางมายังโลกและได้รู้จักกับสุนัขจิ้งจอกที่สอนให้เขารู้จักกับการสร้างความสัมพันธ์บนความรับผิดชอบ รวมถึงความลับของชีวิตที่ง่ายนิดเดียวกับประโยคในหนังสือที่เราชื่นชอบมาก ” One sees clearly only with the heart. Anything essential is invisible to the eyes.” (เราจะมองเห็นอะไร ๆ ให้แจ่มชัดด้วยหัวใจ เพราะสิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยสายตา)

หนังสือเล่มนี้อ่านแล้วหวนให้คิดถึงจินตนาการในวัยเด็ก รวมถึงให้เรามองเห็นโลกในมุมมองของเด็กอีกครั้ง

ข้อคิดดี ๆ จากวรรณกรรมเรื่องนี้

– ภาพที่เห็นอาจไม่ใช่อย่างที่เราคิดเสมอไป อ่านแล้วลองปรับมุมมองในการมองโลกเสียใหม่ อย่าด่วนสรุปให้ไวจนเกินไปนัก พยายามมองลึก ๆ ถึงสิ่งที่ซ่อนไว้

– รู้จักพูดในเรื่องสำคัญ ๆ จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาคิดให้เสียใจภายหลัง ว่าทำไมตอนนั้น เราไม่พูดมันออกไป

– คนเราไม่สามารถสั่งอะไรคนอื่นได้ ก่อนจะตัดสินใคร จงมองตัวเองก่อนว่าถือสิทธิ์อะไรไปสั่งเขา

– อย่าสนใจเสียงของสังคมมากเกินไป จนลืมความต้องการของตัวเอง

– เมื่อเราทำอะไรผิดพลาด จงยอมรับอย่างจริงใจ

– เลือกทำในสิ่งที่รักและมีความสุขจริง ๆ แทนที่จะเห็นแก่เรื่องเงินทองเป็นหลัก

– เวลาทำอะไรเพื่อใคร ก็อย่าทุ่มเทมากจนเกินไป เผื่อใจไว้บ้าง นึกถึงความสุขของตัวเองบ้าง ไม่อย่างนั้นตอนท้ายไม่เหลือใคร คนที่เจ็บปวดที่สุดอาจเป็นเราได้

– จงภูมิใจในสิ่งที่เรามีอยู่ และภูมิใจในสิ่งที่เราได้เลือกแล้ว

– เราจะมองเห็นอะไร ๆ ให้แจ่มชัดด้วยหัวใจ เพราะสิ่งสำคัญไม่อาจมองเห็นได้ด้วยสายตา (จากความคิดเห็นส่วนตัวสำหรับเราในการอ่านวรรณกรรมเล่มนี้ นักเขียนสอนข้อนี้ได้ดีมาก ๆ เมื่อใดที่เราอยากมองเห็นอะไรชัด ๆ ให้ใช้หัวใจมอง อย่าตัดสินใครด้วยการใช้สายตามองเพียงอย่างเดียว)

“ผู้ใหญ่ทุกคนเคยเป็นเด็กมาก่อน แต่เราเคยจดจำช่วงเวลานั้นได้หรือไม่”

รักการอ่าน

นโยบายเด็กไทยต้องอ่านออกเขียนได้
 
 
 

          กิจกรรมส่งเสริมการอ่าน (Activity for reading skill) หมายถึง การกระทำต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจที่จะอ่าน เห็นความสำคัญของการอ่าน เกิดความเพลิดเพลินที่จะอ่าน เกิดความมุ่งมั่นที่จะอ่าน และอ่านจนเป็นนิสัย ทั้งนี้ การอ่านหนังสือเป็นทักษะสำคัญทักษะหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพราะการอ่านหนังสือจะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเราได้เป็นอย่างดียิ่ง เมื่อคนเราอ่านหนังสือจะเกิดความสามารถสร้างความรู้ อารมณ์ จินตนาการ และ ความเพลิดเพลิน การที่เด็กจะเกิดทักษะการอ่านหนังสือได้นั้นจำเป็นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่าย ทั้งครอบครัว โรงเรียน ในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็ก
 
 
 

          จากประสบการณ์ในการดูแลลูก ทำไมลูกเราสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ได้ตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ทั้งที่ยังไม่ได้เข้าโรงเรียน เพราะลูกได้ซึมซับกิจวัตรประจำการอ่านหนังสือของพ่อแม่ ทำให้ลูกมีความคิดที่อยากจะอ่านได้บ้าง เพื่อที่จะได้ทราบเรื่องราวจากหนังสือเล่มที่ตนเองสนใจ ทำให้เด็กเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้ตัวหนังสือ พ่อแม่ก็มีหน้าที่ส่งเสริมโดยการสอนให้ลูกรู้จักพยัญชนะภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยพื้นฐานที่สอนกันเองตามบ้าน
 
 
 

          เมื่อลูกเริ่มรู้จักตัวอักษร แม่ก็สอนให้หัดอ่านแบบผสมคำ หาสื่อการเรียนรู้สำหรับเด็กมาเป็นแรงจูงใจในการเรียนรู้ ทั้งแบบหนังสือและซีดี ซึ่งลูก ๆ จะเพลิดเพลินและชอบมาก ทำให้มีความตั้งใจในการเรียนรู้เป็นอย่างดี เมื่อลูกอ่านหนังสือออก เขาก็อยากโชว์ความสามารถของตนเอง โดยหยิบหนังสือมาหนึ่งเล่มแล้วเริ่มอ่านให้แม่ฟัง คำไหนอ่านแล้วไม่เข้าใจความหมายก็จะถามแม่ว่าหมายถึงอะไร แม่ก็จะอธิบายให้ฟัง เมื่อลูกเข้าใจความหมายของคำก็จะอ่านหนังสือได้อย่างมีความสุข
 
 
 

          เมื่อถึงวัยเข้าเรียน การบ้านสำหรับเด็กวัยนี้ทีได้กลับมาคือ จะต้องมีหนังสือนิทานหนึ่งเล่ม มานั่งอ่านพร้อมแม่ เมื่ออ่านเสร็จแม่ก็จะเซ็นชื่อลงในสมุดบันทึกการอ่าน เพื่อให้คุณครูรับทราบว่าได้อ่านเรื่องนี้แล้ว
 
 
 

          เมื่อพาลูก ๆ ไปเดินห้างสรรพสินค้า ร้านแรกที่ลูกจะเดินเข้าคือร้านหนังสือ ลูกอยากได้หนังสือนิทาน ,หนังสือการ์ตูนหรือหนังสือที่เขาสนใจกลับไปอ่านที่บ้าน โดยความคิดเห็นส่วนตัวหนังสือที่ลูกอยากอ่านถึงแม้จะไม่ใช่หนังสือเรียนแม่ก็ซื้อให้ เพราะคือการส่งเสริมการอ่านอย่างหนึ่งที่เด็กสนใจอยากได้มาอ่าน เป็นการเปิดโลกความคิดให้กว้าง มีอิสระในการเรียนรู้ สิ่งที่เราไม่ปิดกั้นจะทำให้ลูกมีความสุขในการอ่านหนังสืออย่างมาก
 
 
 

          การสอนในแบบฉบับของเราเน้นปฏิบัติไม่เน้นทฤษฎี ถึงไมได้ตามเกณฑ์มาตรฐานของการสอนในโรงเรียน แต่สามารถทำให้ลูกของเราสามารถอ่านออกและเขียนได้ก่อนเข้าโรงเรียน
 
 
 

          อ่านหนังสือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต ได้เห็นโลกกว้างทางความคิด จินตนาการหลากหลาย ความรู้มากมาย และสามารถเดินทางรอบโลกได้จากตัวหนังสือที่เราอ่าน ชักชวนลูก ๆ มาอ่านหนังสือกันคะ
 
 

IMG_20150830_133031

IMG_20150830_133040

IMG_20150830_135317

IMG_20150830_135847

Charm of Perth

          Charm of Perth

 

           ด้วยแรงดึงดูดจากมนต์เสน่ห์แห่งเพิร์ธ ออสเตรเลียตะวันตก  การเดินทางได้เริ่มต้นอีกครั้ง

 

perth001
Perth Western Australia

 

          เพิร์ธ (Perth)เป็นเมืองหลวงแห่งรัฐ Western Australia เป็นเมืองที่ฟ้าใส  ธรรมชาติสวย  จึงเป็นเมืองที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย  ตั้งอยู่บนริมฝั่งของแม่น้ำสวอน (Swan River) และขนาบข้างด้วยสวนสาธารณะคิงส์พาร์ค (Kings Park)  บริเวณตัวเมืองเพิร์ธนั้นรอบด้านเต็มไปด้วยกิจกรรมที่จะทำให้เพลิดเพลินมากมาย

 

          ไลฟ์สไตล์แบบกลางแจ้งของเมืองเพิร์ธเป็นอะไรที่น่าประทับใจมาก  เพราะที่นี่จะมีช่วงเวลาของกลางวันยาวกว่าที่เมืองอื่นในออสเตรเลีย และในช่วงฤดูหนาวอากาศก็จะไม่หนาวจัด

 

perth003 kp
Kings Park
perth0031 kp
พันธ์ุไม้นานาชนิด

 

          สถานที่แรกที่ต้องไปเยือนเมื่อมาเหยียบดินแดนเพิร์ธแล้วก็คือ สวนสาธารณะคิงส์ปาร์ค (Kings Park) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินสูงใจกลางเมือง เราสามารถชมวิวสวย ๆ ในมุมสูง ๆ ของเมืองเพิร์ธได้จากคิงส์ปาร์คแห่งนี้ นอกจากนั้นสวนสาธารณะใจกลางเมืองแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิดเลยทีเดียว  สามารถเดินสูดโอโซนสะอาด ๆ ได้แบบเต็ม ๆ ปอดกันเลยคะ (กินลมชมวิวก็ยังหิวอยู่ดี >_<)

 

perth002
Black Swan

 

          ชมวิวเมืองมุมสูงเสร็จแล้ว  ต้องไม่พลาดชมเจ้า Black Swan หรือหงส์ดำ สัตว์สัญลักษณ์ของเมืองเพิร์ธ ที่ทะเลสาบมองเกอร์ (Lake Monger) ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำและสัตว์ปีกหลายชนิดรวมถึงเจ้าหงส์ตัวสีดำปากสีแดงสัตว์สงวนท้องถิ่นของที่นี่ด้วย

 

          ล่องเรือชมความงามของธรรมชาติและเมืองเพิร์ธริมแม่น้ำสวอนที่กว้างใหญ่ดั่งทะเลสาบ ชมเมืองปากแม่น้ำสวอน เมืองที่สำคัญตั้งแต่สมัยอดีตจนกระทั่งปัจจุบัน ระหว่างเส้นทางริมแม่น้ำสวอนอันทรงเสน่ห์เป็นที่ตั้งของบ้านเรือนสวย ๆ มากมาย   แม่น้ำสวอนนี้นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นแม่น้ำที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งแล้ว ยังเป็นแม่น้ำที่เก่าแก่สายหนึ่งของโลกด้วย สายน้ำอันคดเคี้ยวไปมานี้จะไหลไปลงทะเลที่ฟรีแมนเทิล (Fremantle)เมืองปากอ่าว

 

perth007 london
London Court

 

          กลับขึ้นมาบนบกอีกครั้ง  ในตัวเมืองเพิร์ธยังมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่สวยงามเช่นที่ ลอนดอนคอร์ต (London Court) เป็นอาคารทรงทิวดอร์ สร้างขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อและแหล่งถ่ายรูปยอดฮิต นอกจากนี้ยังมีนาฬิกาที่ทุก ๆ 15 นาที  จะมีอัศวินกับมังกรออกมาสู้กันให้ดูอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ

 

perth004 bell
The Swan Bells

 

          หอระฆังสวอนเบลล์ส (The Swan Bells) ประกอบด้วยระฆังทั้งหมด 18 อันทำให้หอระฆังสวอนเบลล์สเป็นหอระฆังที่กลายเป็นเครื่องดนตรีที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกในปีค.ศ.1988 นักบุญเซนต์มาร์ตินจากโบสถ์ฟิลด์ส (Fields Church) ในกรุงลอนดอนส่งระฆังมาให้รัฐเวสต์เทิร์นออสเตรเลียจำนวน 12 อัน ในโอกาสฉลองออสเตรเลียครบรอบสองร้อยปี ต่อมามีการเพิ่มระฆังใหม่จำนวน 6 อันเข้าไปรวมกับชุดเดิมนั้นระฆังทั้งหมดนี้ตั้ง อยู่ในหอที่ทำด้วยกระจกตรงริมฝั่งของแม่น้ำสวอนตรงถนน Barrack Street Jetty ในเมืองเพิร์ธ คุณจะได้ยินเสียงระฆังก้องกังวานจากที่นี่ทุกวัน

 

perth005 mint

          โรงกษาปณ์เมืองเพิร์ธ (Perth Mint) เป็นโรงกษาปณ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ซึ่งยังคงเปิดทำการเหมือนสมัยแรกเริ่มก่อตั้งในอดีต ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเพิร์ธ เป็นอาคารเก่าแก่ยุคศตวรรษที่ 19 ตอนปลาย  ที่นี่ยังเปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ลองผลิตเหรียญของตนเอง แล้วแต่จะเลือกเป็นพิมพ์เหรียญทอง พิมพ์เหรียญเงิน หรือเหรียญทองคำบริสุทธิ์ แล้วยังเลือกพิมพ์ตัวหนังสือลงบนเหรียญของตัวเองได้ตามใจชอบด้วยคะ

 

perth0061 kangaro
Kangaroo
perth0062 coala
Coala
perth0063 vombat
Wombat

 

          เปลี่ยนอารมณ์ไปชมเหล่าสัตว์น่ารัก ๆ  กันบ้างที่สวนสัตว์พื้นเมืองเพิร์ธ (Caversham Wildlife Park) ที่มีสัตว์พื้นเมืองของเวสเทิร์นออสเตรเลียหลากชนิดให้ชมกัน อาทิ จิงโจ้เผือก วอมแบท โคอาล่า ฯลฯ

 

          ทัมบูลกัมฟาร์ม(Tumbulgum Farm)อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของเมืองเพิร์ธ ไปชมการแสดงการตัดขนแกะ ดูเหมือนง่ายมากใช้เวลาไม่นานต่อหนึ่งตัว  เปรียบเทียบเหมือนกับการใช้ปัตตาเลี่ยนตัดผมของบ้านเราคะ(ปรืด ๆ เสร็จ)  ซึ่งอาชีพนี้ถือเป็นอาชีพหลักของชาวออสซี่  และขนแกะนี้ยังเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญของชาวออสซี่อีกด้วย จากนั้นไปชมการต้อนแกะโดยสุนัขแสนรู้ และปิดท้ายด้วยการเดินชมสวนผลไม้ตามฤดูกาลที่ Golden Grove Orange Orchard และโรงงานขนมนูก้าร์ที่มีชื่อของเมืองเพิร์ธ งานถนัดเลยคะ ชิม ๆ ๆ  พร้อมเลือกซื้อตามอัธยาศัยคะ

 

perth008 aqa
Aquarium of Western Australia
OLYMPUS DIGITAL CAMERA
ฉลาม
perth0082 aqa
เต่าน่ารัก ^_^

 

          Aquarium of Western Australia พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำรัฐเวสต์เทิร์น ออสเตรเลีย  โลกใต้ทะเลฝั่งตะวันตกที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย เป็นพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำทีมีทางเดินทะลุผ่านตู้โชว์ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย มีพันธุ์สัตว์น้ำของออสเตรเลียตะวันตกหลายพันธุ์ หลายชนิด ทั้งแมงกะพรุน ฉลาม ปลาชนิดต่าง ๆ และเต่า ฯลฯ   ไม่ว่าทริปไหน ๆ พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำเป็นอะไรที่ชอบมากไม่เคยพลาดคะ

 

          เพลิดเพลินไปกลับความงามของโลกใต้ทะเล  ตรึงตาไปกับธรรมชาติอันสวยงามแห่งเพิร์ธ  มนต์เสน่ห์ตรึงใจในความทรงจำ

 

          Embrace Perth’s relaxed magic , a cruise down the Swan River. Walk Kings Park and visit historic.

 

Beijing in memories

กำแพงเมืองจีน
กำแพงเมืองจีน (The Great Wall of China )

 

“หนีห่าว” [您好]

 

          ก้าวแรกสู่แดนมังกร  ดินแดนบ้านเกิดบรรพบุรุษของเรานะคะ  ไม่ใช่เมืองในฝันที่คิดอยากจะไปเที่ยวเลยคะ  แต่ว่ามันลำบากใจที่จะเอื้อนเอ่ยคำปฎิเสธออกไป เพราะว่า…มันคือทริปฟรีคะ >_<  ไม่ไปก็โง่เต็มทีนะ

 

          เช็คสภาพอากาศก่อนไปติดลบ 10 องศา คะ  ทุกอย่างต้องพร้อมถุงมือ ถุงเท้า ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว  หมวกไหมพรม  ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่แน่ ๆ  คะ

 

          เมื่อลงจากรถนำเที่ยวท้องถิ่น  สัมผัสแรก…หน้าชาโดยอัตโนมัติ  ยกชายผ้าพันคอขึ้นมาโอบปากและจมูก เหลือแต่ดวงตาที่โผล่พ้นขอบผืนผ้าสิ่งที่ทนทานที่สุดบนร่างกาย  อยู่เมืองร้อนตั้งแต่เกิดมาเจอสภาพอากาศแบบนี้  ก้าวขาแทบไม่ออกเลยคะ  แต่สิ่งที่ทำให้ต้องอ้าปากหวอพร้อมตาโตตามมาคือจัตุรัสเทียนอันเหมิน  มันยิ่งใหญ่มากมายอะไรขนาดนี้

 

เทียนอันเหมืิน
จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square)

 

          จัตุรัสเทียนอันเหมิน (Tiananmen Square) เป็นสัญลักษณ์ของจีนใหม่ และยังเป็นสัญลักษณ์ของกรุงปักกิ่งด้วย ความยาวตั้งแต่ทิศเหนือจรดทิศใต้ 880 เมตร ทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก 500 เมตร พื้นที่ทั้งสิ้น 440,000 ตารางเมตร สามารถจุประชากรได้ถึง 1,000,000 คน  เป็นจัตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลกและเป็นศูนย์กลางของกรุงปักกิ่ง ใช้เป็นสถานที่จัดพิธีฉลองเนื่องในโอกาสวันสำคัญต่าง ๆ   สร้างได้ยิ่งใหญ่อลังการมาก ใหญ่จนเราเหมือนมดตัวน้อยตัวนิดจริง ๆ คะ

 

          อากาศที่ติดลบประกอบด้วยสายลมที่พัดอย่างแรง  มันเย็นไปจนถึงขั้วหัวใจ หมวกที่ทางบริษัทนำเที่ยวจัดให้ปลิวไปกับสายลมเป็นของที่ระลึกจากเราถึงท่านประธานเหมาแล้วคะ  ต้องหยิบหมวกไหมพรมของตัวเองมาสวมแทน

 

ประธานเหมา
ภาพวาดประธานเหมาเจ๋อตุง

          กว่าจะเดินไปถึงหอประตูเทียนอันเหมิน  ซึ่งมีภาพเหมือนสีน้ำมันของท่านประธานเหมาเจ๋อตุงประดับอยู่ ณ ประตูแห่งนี้   ใช้เวลานานพอสมควร  แต่อากาศที่หนาวเย็นจับขั้วหัวใจ  ทำให้การเดินไม่รู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด

 

          มาเที่ยวเมืองจีน(สาธารณรัฐประชาชนจีน) ต้องเดิน ๆๆ อย่างเดียวคะ  ควรใส่รองเท้าผ้าใบนะคะ  จะได้เดินสบาย

 

พระราชวังต้องห้าม2
พระราชวังต้องห้าม
พระราชวังต้องห้าม3
ประตูทางเข้าพระราชวังต้องห้าม

          ต่อจากนั้นมุ่งหน้าสู่พระราชวังต้องห้ามหรือพระราชวังกู้กง มรดกโลก หรือ The Forbidden City สร้างขึ้นใน ปี ค.ศ. 1406 ในสมัยจักรพรรดิหยงเล่อ ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีตำหนักใหญ่เล็กรวม 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ ซึ่งเป็นที่ประทับและว่าราชการของจักรพรรดิ 24 พระองค์ ในราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง

 

          เหตุที่เรียกพระราชวังต้องห้าม เนื่องมาจากชาวจีนถือคติในการสร้างวังว่า จักรพรรดิเปรียบเสมือนบุตรแห่งสวรรค์ ดังนั้นวังของบุตรแห่งสวรรค์จึงต้องเป็น “ที่ต้องห้าม” คนธรรมดาสามัญไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปได้

 

          การเดินเข้าชมพระราชวังต้องห้าม  เราเดินตามรอยจักรพรรดินะคะ ตรงดิ่งจากประตูหน้าวังไปจนสุดประตูหลังของวัง  ซึ่งเป็นเส้นทางเสด็จสำหรับองค์จักรพรรดิเพียงพระองค์เดียวโดยเฉพาะเมื่อสมัยโบราณ  สำหรับฮองเฮา มเหสี สนม นางกำนัลและขันทีต้องเดินรอบข้างพระราชวัง   การเดินชมใช้เวลาครึ่งวัน  บอกเลยว่าเหนื่อยมากจริง ๆ  สำหรับคนไม่เคยออกกำลังกายแบบเรา  แต่ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์อย่างมากมายมหาศาลนอกเหนือจากตำราคะ   ถ้าจะชมอาคารรอบข้างและตำหนักทั้งหมดต้องใช้เวลาหลายวันคะ  มัคคุเทศก์ท้องถิ่นบรรยายไว้แบบนั้นคะ

 

          แม้ว่าประเทศจีนจะไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์แล้ว พระราชวังต้องห้ามก็ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของประเทศจีน และภาพประตูเทียนอันเหมินก็ยังปรากฏอยู่ในตราประจำสาธารณรัฐประชาชนจีนอีกด้วย นอกจากนี้ พระราชวังต้องห้ามยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

 

          หลังจากเดินมาสุดประตูหลังวัง(เดินจนขาลากเลยคะ)  ตรงดิ่งไปรับประทานอาหารกลางวันเพื่อเสริมพลัง  มาปักกิ่งก็ต้องไปลิ้มรสเป็ดปักกิ่งคะ  รู้สึกอร่อยมากเพราะใช้พลังงานไปเยอะคะ ^_^

 

หอฟ้าเทียนถาน
หอฟ้าเทียนถาน

          หอฟ้าเทียนถาน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงปักกิ่ง เป็นสถานซึ่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิงใช้เป็นที่บวงสรวงเทพยดา ในระยะย่างเข้าฤดูหนาวถึงเดือนอ้ายตามจันทรคติทุกปี พระจักรพรรดิจะเสด็จไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงที่นั่นเพื่อ  ให้การเก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์

 

สุสานติ้งหลิง
สุสานติ้งหลิง (วังใต้ดิน)

          จากนั้นไปต่อกันที่สุสาน 13 กษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง  การสร้างสุสานกษัตริย์ของชาวจีน นับเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่า สะท้อนศิลปวัฒนธรรมเก่าแก่ของชาติ โดยนิยมแบ่งเป็น 2 ส่วนสำคัญ คือ ส่วนบนดิน และใต้ดิน ซึ่งมีพลังหยินหยางเกื้อกูลค้ำจุลกัน คือ หลังอิงขุนเขา หันหน้าสู่น้ำ

 

          สุสาน 13 กษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง เป็นสุสานของกษัตริย์อีก 13 พระองค์ของราชวงศ์หมิง ตั้งอยู่ทางชานเมืองด้านตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงปักกิ่ง ห่างจากตัวเมือง 50 กว่ากิโลเมตร ซึ่งได้ตั้งกระจัดกระจายอยู่ในเขตเขาเทียนโซ่วอำเภอชางผิงแห่งกรุงปักกิ่งบนพื้นที่ราบลุ่มที่มีเนื้อที่ 40 ตารางกิโลเมตรและได้ใช้เวลาใน การก่อสร้างยืดเยื้อมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ตั้งแต่เริ่มทำการก่อสร้างในปี ค.ศ.1409 จนถึงราชวงศ์หมิงสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1644

 

          สุสานนี้ต้องเดินลงบันไดไปใต้ดินลึกมาก  สุสานติ้งหลิงซึ่งได้ขุดแล้วและเรียกกันว่า “วังใต้ดิน” นั้นประกอบด้วยห้องสูงใหญ่ 5 ห้อง(เดินชมได้หมดคะ) สร้างด้วยหินทั้งหมด ไม่มีเสา ใช้หินสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ก่อกันเข้าเป็นรูปโค้ง  ภายในวังใต้ดินมีเส้นทางน้ำ เพื่อไว้ลำเลียงหินอ่อนมาสร้างวัง  รอจนถึงฤดูหนาวเมื่อน้ำแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง  แล้วใช้เลื่อนลากลำเลียงมาคะ  สุสานองค์นี้เป็นที่เก็บพระศพขององค์จักรพรรดิจู้อี้จุน ซึ่งครองราชสมบัติระหว่าง ค.ศ. 1573 – 1620 กับมเหสีสององค์ในสมัยราชวงศ์หมิง  ผลงานการสร้างของชาวจีนเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากคะ  ความยิ่งใหญ่มาเป็นอันดับต้น

 

          จากนั้นไปชมการแสดง กายกรรมปักกิ่ง ซึ่งเป็นการแสดงความสามารถของนักแสดงในการโชว์หวาดเสียวและความยืดหยุ่นของร่างกาย มีการแสดงหลายหลายชุดแต่ละการแสดงจะแตกต่างกันไปโชว์ความสามารถในหลาย ๆ ด้าน ต้องฝึกหัดกันตั้งแต่เด็กตัวถึงได้อ่อนขนาดนั้น

 

cn005
ระหว่างทางขึ้นกำแพงเมืองจีน

cn002
ป้อมที่หนึ่ง

cn001

          ไปลุยกำแพงเมืองจีน(The Great Wall)กันคะ(ด่านไหนก็จำชื่อไม่ได้แล้ว) สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของชาวจีน  ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลางจนถึงปัจจุบัน เป็นสัญลักษณ์ที่มีความโดดเด่นของประเทศจีนมีความเก่าแก่กว่า 2,000 ปี จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ได้บัญชาให้ทำการเชื่อมกำแพงเมืองต่าง ๆ  เข้าด้วยกัน จนมีความยาวทั้งสิ้น 12,700 ลี้ หรือ ประมาณ 6,350 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุมอาณาบริเวณถึง 5 มณฑล 2 แคว้น การปกครองตลอดไปจนถึงทะเลทรายโกบี เมื่อได้ทอดสายตาไปจะรู้สึกเหมือนกับได้เห็นพญามังกรที่พาดพันไปตามยอดเขาด้วยท่วงท่าที่องอาจและสง่างาม

 

          ขั้นบันไดของกำแพงเมืองจีนความสูงแต่ละขั้นประมาณ 30 เซนติเมตรได้คะ  หินแต่ละก้อนก็ใหญ่มาก ๆ   แต่ละก้าวย่างต้องมั่นคงมาก  ไม่อย่างนั้นท่านจะมีโอกาสกลิ้งตกบันไดได้คะ >_<   กว่าจะเดินขึ้นไปถึงแต่ละป้อมได้นั้น  ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาเลยคะ  น้ำหนักตัวเองกับการไต่ขึ้นกำแพงเมืองจีน   ทริปของเรามีผู้สูงอายุถือไม้เท้า  ลุงเขายังขึ้นไปได้  เราก็ต้องขึ้นได้คะ  สู้ ๆ  สิ่งก่อสร้างของชาวจีนมันยิ่งใหญ่จนเกินคำบรรยาย

 

          ขาเดินลงนี่สบายมากแทบจะติดปีกบินได้เลยคะ  ตัวเบาหวิวเอาไขมันบางส่วนไปฝากไว้บนกำแพงเมืองจีนเป็นที่เรียบร้อย >_<  ลงจากกำแพงเมืองจีนก็ต้องซื้อกำแพงเมืองจีนเซรามิคติดไม้ติดมือกลับบ้าน  เป็นที่ระลึก  ยืนยันว่าเราได้ไปตะกายกำแพงเมืองจีนมาแล้วคะ

 

          ต่อจากนั้นไปชมสินค้ามีชื่อของปักกิ่ง หยกแท้ของเมืองจีนพร้อมทั้งฟังคำแนะนำและวิธีการดูหยก ดูอย่างเดียวไม่ซื้อคะ  ต่อไปชมโรงงานผลิตครีมบัวหิมะอันเลื่องชื่อของปักกิ่ง  ชมการสาธิตคุณสมบัติของบัวหิมะ  อันนี้ซื้อเพราะใช้อยู่คะ

 

พระราชวังฤดูร้อน
พระราชวังฤดูร้อน ของพระนางซูสีไทเฮา

          ไปเที่ยวพระราชวังฤดูร้อน หรืออี้เหอหยวนของพระนางซูสีไทเฮากันนะคะ เป็นที่ประทับและที่ว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา เป็นพระราชอุทยานที่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ความงดงามของทะเลสาบคุนหมิง โดยทะเลสาบนี้เกิดจากการใช้แรงงานคนขุดดินขึ้นไปถมเป็นเนินเขา  สำหรับสร้างพระตำหนักและเรือหินอ่อนที่สร้างขึ้นโดยใช้งบประมาณของกองทัพเรือ  ขณะที่ไปเป็นฤดูหนาวของจีนคะ  น้ำในทะเลสาบเป็นน้ำแข็งสามารถลงไปเดินชมวิวและยืนถ่ายรูปได้เลยคะ

 

ระเบียงทางเดินพระราชวังฟโูร้อน
ระเบียง Chang Lang

          พระนางซูสีไทเฮามีรับสั่งให้สร้างทางเดินมีหลังคาคลุม ขนาบไปกับทะเลสาบคุนหมิงแห่งนี้ คือระเบียง Chang Lang (Long Corridor) มีความยาวถึง 728 เมตร เป็นระเบียงที่มีความยาวมากที่สุดในโลกคะ

 

          เดินชมพร้อมฟังมัคคุเทศก์บรรยายประวัติคะ  ด้านในและด้านนอกระเบียง Chang Lang นี้ตกแต่งด้วยภาพเขียนของทิวทัศน์ทะเลสาบเมืองหางโจว  ภาพเขียนของเทพนิยายจีนเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องไซอิ๋ว เรียงต่อกันเป็นเรื่องราว ให้ได้เพลิดเพลินตลอดการเดินไปบนระเบียงแห่งนี้ (ระเบียงนี้ได้บูรณะขึ้นมาใหม่ให้เหมือนของเดิมหลังจากถูกไฟไหม้)

          ปล : เรามีความหลังกับระเบียงทางเดินนี้ด้วยคะ  เกิดแอคซิเดนท์กะทันหันทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา  อาจเพราะตื่นเต้นมากไป

 

เรือหินอ่อน
เรือหินอ่อน Shi Fang

          เมื่อเดินไปเรื่อยจะพบกับเรือหินอ่อน Shi Fang เรือนี้พระนางซูสีไทเฮาให้สร้างขึ้นเพื่อใช้นั่งจิบน้ำชาชมทิวทัศน์ของทะเลสาบ  ซึ่งได้นำเงินในส่วนที่ใช้สำหรับการดูแลปรับปรุงกองทัพมาใช้ในการสร้าง…

          เรือไปไหนก็ไม่ได้…เคลื่อนที่ไม่ได้ เรือนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า “เรือของคนโง่”

 

โรงงิ้ว
โรงงิ้ว

          โรงงิ้วสำหรับชมงิ้วของพระนางซูสีไทเฮา แสดงได้ทั้ง 3 ชั้น มีความสูงถึง 21 เมตร  พระนางชื่นชอบการชมงิ้วมาก

 

ตำหนัก ren2
ตำหนัก Renshou Dian (Hall of Benevolence and Longevity)

 

SONY DSC
ประตูตำหนัก Renshou Dian

          ตำหนัก Renshou Dian (Hall of Benevolence and Longevity) ตำหนักนี้ใช้เป็นที่ว่าราชการของฮ่องเต้กวางซวีกับพระนางซูสีไทเฮา ทั้งยังเป็นที่ต้อนรับทูตต่างชาติ

 

SONY DSC
ทางเดินไปตำหนัก Yulan Tang (Hall of Jade Ripples)
SONY DSC
ตำหนักถูกก่ออิฐโบกปูนปิดตายหมดทุกด้าน
SONY DSC
ตำหนัก Yulan Tang (Hall of Jade Ripples)
SONY DSC
ภายในตำหนัก Yulan Tang (Hall of Jade Ripples)

 

          และตำหนักสุดท้ายเราจะไปกันที่ตำหนัก Yulan Tang (Hall of Jade Ripples) เมื่อเดินผ่านเข้าตำหนักนี้มา มวลอากาศรายล้อมไปด้วยความเงียบสงัด   เศร้าหมองอย่างสัมผัสได้ในทันที    ความรู้สึกที่ได้ไปสัมผัส ณ ตำหนักแห่งนี้    พร้อมฟังคำบรรยายประวัติของตัวตำหนักประกอบจากมัคคุเทศก์    เศร้ามาก…น้ำตาซึมเลยคะ

 

          สถานที่แห่งนี่เป็นตำหนักที่ฮ่องเต้กวางซวีถูกพระนางซูสีไทเฮาขังไว้ ตลอดชีวิต……..  ฮ่องเต้กวางซวี เป็นหลานของพระนางซูสีไทเฮา  ได้ขึ้นครองราชย์ต่อจากฮ่องเต้ถงจื้อซึ่งเป็นโอรสของพระนางซึ่งต่อมาป่วยและสิ้นพระชนม์ลง

 

          พระนางเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการขึ้นครองราชย์ของฮ่องเต้กวางซวีแต่ฮ่องเต้อยากให้มีการปฎิรูปจีนให้แข็งแกร่ง (เป็นเรื่องการเมืองล้วน ๆ) พระนางซูสีไทเฮาได้ชิงจับกุมฮ่องเต้กวางซวีไว้ได้ก่อน   แล้วจึงนำมาคุมขังในตำหนักแห่งนี้ ห้องของตำหนักด้านอื่น ๆ ก่ออิฐทึบ   มีเพียงด้านหน้าเท่านั้นที่มีประตูหน้าต่าง  ให้พออยู่ได้   ตรงกลางตำหนักมีเพียงห้องทำงานและห้องบรรทมเล็ก ๆ

 

          และก่อนที่พระนางซูสีไทเฮาจะสิ้นพระชนม์ก็ได้สั่งให้ถวายยาพิษให้กับฮ่องเต้กวางซวี   และแต่งตั้งจักรพรรดิ “ปูยี” (The Last Emperor) เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของราชวงศ์จีน…

 

SONY DSC
ศาลาริมทะเลสาบ
cn003
ยืนถ่ายรูปบนทะเลสาบ
cn006
เบื้องหลังทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็ง

 

          ก้าวต่อไปเพื่อชมบรรยากาศรอบ ๆ ทะเลสาบ โดยทิ้งประวัติศาสตร์ที่โหดร้ายเอาไว้เบื้องหลัง…  ขณะข้ามสะพานเพื่อจะไปนั่งพักที่ศาลาริมทะเลสาบ  สายตาเหลือบไปเห็นของกินอยู่เบื้องหน้าคะ  พุทราเชื่อมลูกใหญ่เสียบไม้เหมือนลูกชิ้นปิ้งเลย  ไม่พลาดฟาดเรียบคะ

 

/////////

 

เล็กๆ น้อยๆ

          ถ้าไม่ได้เห็นด้วยสองตาตัวเอง  จะไม่เชื่อเลยว่าห้องบรรทมของจักรพรรดิในพระราชวังต้องห้าม  ไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารเหมือนในหนัง  เราสามารถชมความงามได้จากประตูด้านนอกเท่านั้นห้ามเดินเข้าภายใน และห้ามถ่ายรูปด้วยคะ เตียงสามารถนอนได้แค่คนเดียว  ประตูหน้าใช้สำหรับจักรพรรดิเสด็จเท่านั้น  ส่วนมเหสีและข้าราชบริพารให้ใช้ประตูด้านข้าง

สถาปัตยกรรมของชาวจีนยิ่งใหญ่อลังการ  จากอดีตที่โหดร้ายแต่ปัจจุบันสถาปัตยกรรมทั้งหลายเหล่านี้ทำเม็ดเงินเข้าประเทศได้อย่างมากมายมหาศาล
          
 

/////////

 

          ท้ายสุดและสุดท้ายนี้  ที่รักของเราวิ่งมาตามแล้วคะ >_<

tom 01
Tom Hiddleston (งานโปรโมทธอร์2 อินปักกิ่ง) ^^
tom 02
ลงมาเลย รอรับอยู่ (งานมโนต้องตามมาคะ)

[ 拜拜 ] Bài Bài Beijing

Hiddlesworth [Chirs x Tom] Schloss Mirabell

 

mirabell2
Schloss Mirabell (พระราชวังมิราเบลล์)

 

 

          “เอาโต้บาห์น (Autobahns of Austria)(ทางหลวงระหว่างประเทศ)  สายนี้สวยไม่น้อยนี่คุณ”  คริสเอ่ยขึ้น

          รถยังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงแดดแผดจ้า  ป่าสนและหญ้าเขียวขจีสองข้างทางที่ถนนลาดขึ้นสูงแล้ววกต่ำ  เป็นภาพที่ทำให้อารมณ์ของเขาแจ่มใส

Autobahn
Autobahns of Austria (ทางหลวงระหว่างประเทศ)

 

          “เกือบถึงซัลซ์บวร์กแล้วนะครับ”  ทอมหันมาบอก

          “ทะเลสาบอะไรนะคุณ  สวยจริง”

          “ทะเลสาบพระจันทร์ครับ โมนด์ เซ(Mondsee)”  ทอมบอกทั้งภาษาท้องถิ่นสำเนียงชัดเจน  จนเขานึกถึงเสียงของทอมขณะผ่านหูฟังในที่ประชุมระดับชาติเสียงมีกังวานเจิดจ้าและชัดเจนอย่างนี้  สามารถถ่ายทอดภาษาหนึ่งไปยังภาษาหนึ่งได้อย่างฉับไว

          “ผมชอบทะเลสาบ  ขากลับแวะค้างกันไหม” เขาถามเปรย ๆ

          “แล้วแต่คุณสิครับ  แต่แถวนั้นไม่มีโรงแรมหรอกครับ  มีแต่รัทเฮ้าส์”

          “ก็ไม่เลว…คงมีเรือให้เช่าด้วยสินะ”

          “ครับ…”  เสียงตอบรับแผ่วเบา

          “ผมดูแต่ในหนังชุด The sound of music  ก็เห็นว่าสวยจริง  อะไรให้ดูมากไปกวาทิวทัศน์ที่ซัลซ์บวร์ก”  เขาชวนคุยต่อไป

mondsee
Mondsee (ทะเลสาบพระจันทร์)

 

 

          “ผมชอบที่นี่  เพราะมีภูเขาสลับซับซ้อน เวลาขึ้นเคเบิลคาร์ไปจนถึงยอดเขา  มองลงมาเห็นหุบเขาหมู่บ้าน  เหมือนอยู่ในความฝัน  เงียบสงบแล้วก็สวยจริง ๆ  มีแต่สายลม ดอกหญ้า แล้วก็ท้องฟ้ากับป่าสน” ทอมพูดแผ่วเบา

          “นั่นปราสาทอะไร”  คริสชี้มือไปบนยอดเนินสูง  “ผมจำได้แล้วหละ”  ในหนังเรื่องนั้นดูจะมีปราสาทหลังนี้เป็นฉากประกอบงามจริง”

          “ป้อมฟอรเทรส โฮเฮนซัลซ์บวร์กครับ (Hohensalzburg fortress)  เป็นที่คุมขังของ Prince Archbishop Wolf Dietrich Von Raitenau  จนเสียชีวิตที่นั่น”  ทอมอธิบาย

hohen
Hohensalzburg fortress

 

hohenวิวตอนกลางคืน
Hohensalzburg fortress บรรยากาศกลางคืน

 

 

          รถจอดหน้าโรงแรม  คริสแหงนหน้าขึ้นมองตามช่องหน้าต่างอยากจะอุทานออกไปว่างามจริง    ด้วยทุกบ้านช่องในเมืองพร้อมใจกันปลูกดอกไม้หลากสีประดับใต้หน้าต่างอย่างพร้อมเพรียง  ที่พักด้วยก็เช่นกัน  เขาเป็นฝ่ายหิ้วกระเป๋าของตัวเองและทอม  ทอมส่งภาษาเจรจากับผู้จัดการอย่างคล่องแคล่ว

          โรงแรมเล็ก ๆ ก่อสร้างแบบบ้านแถบบาวาเรียนนั้นให้อารมณ์อ่อนหวานกับเขาได้ไม่น้อย  ขณะเดินตามร่างสูงโปร่งของทอมขึ้นไปตามบันได  หญิงกลางคนในชุดพื้นเมืองไขกุญแจห้องแล้วหันมายิ้ม  พูดภาษาพื้นเมืองกับทอม  คริสเห็นผิวแก้มของทอมเป็นสีชมพูระเรื่อ  ขณะรับกุญแจมา

bavarian
Bavarian house

 

          “ยายนั่นพูดอะไรกับคุณหรือ” เขาว่าจะไม่ถาม

          “เปล่าครับ…แกเพียงแค่จัดห้องติดกัน  มีประตูเปิดถึงกันได้  แต่ผมขอเปลี่ยน”  ก่อนจะพึมพำออกไปว่า “ขอบคุณนะครับ  ที่กรุณาหิ้วกระเป๋าขึ้นมาให้”

          “คุณจะทานกลางวันที่ไหน” คริสถามเอื่อย ๆ

          “มีร้านอาหารชื่อ กล็อคเก้นสปีล คาเฟ่ (glockenspiel café) ที่นั่นวิวสวยครับ  ไปที่นั่นก็ได้” ทอมตอบ

glockspiel
glockenspiel café
glockspiel2
glockenspiel café บรรยากาศกลางคืน

 

          “ถ้าอย่างนั้นอีกสิบห้านาที  ผมจะมารับคุณที่ห้อง” คริสบอกสั้น ๆ แล้วหิ้วกระเป๋าไป  ทอมมองตามร่างสูงใหญ่ชั่วครู่  ก่อนจะกลับเข้าห้องล้างหน้าให้สะอาด  จัดผมให้เข้าที่  แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตู  ถามเข้ามาว่า

          “พร้อมหรือยังทอม”

          ทอมเปิดประตู  สะพายเป้กับไหล่  ก่อนจะก้าวออกจากห้องอีกครั้ง  เดินเคียงลงบันไดไปชั้นล่าง

          “ชื่อร้านอาหารแปลกดีนะ” คริสถาม

          “หรือครับ…แปลว่าระฆัง  กระดิ่งก็ได้ทั้งนั้นครับ  มีเทอเรสสวยให้นั่ง  คุณจะเห็นทิวทัศน์ซัลซ์บวร์กเกือบทั้งหมด”

          ไม่ผิดไว้จากที่ทอมโฆษณาเลย  เพราะเมื่อเขาตามขึ้นมาบนเทอเรสนั้น  คริสมองเห็นภาพงดงามทั้งหลายแจ่มชัด  ทอมสั่งอาหารของตัวเองและของเขาเรียบร้อย  ก่อนจะชี้มือให้ดูภาพข้างหน้า

          “บ้านแบบโรโคโคครับ  สีชมพูและขาว…อาจารย์เคยพาพวกเรามาที่นี่  ผมชอบร้านอาหารแบบนี้  เพราะเห็นซัลซ์บวร์กทุกด้านที่ต้องการ  อย่างน้ำพุตรงลานข้างล่าง  แล้วไกลออกไปยังมีโบสถ์  แล้วก็ปราสาทบนเขาสูงเป็นฉากหลังสุด  ถ้าเวลากลางคืนแสงไฟตามตึกก็ให้ภาพงามอีกแบบ  แม้ยามพระอาทิตย์ตกดินก็เหมือนกัน”

          “เราจะไปไหนต่อจากนี้” เขาถามขึ้น  หลังจากนิ่งฟังอยู่ชั่วครู่  ก็บอกไม่ถูกว่าบรรยากาศหรืออะไรที่ทำให้เคลิบเคลิ้ม  แม้กระทั่งเสียงของทอมและหน้าเนียนขาว

          คริสอยากจะโทษไวน์สีทับทิมจัดในแก้วบางทรงสูงที่บริกรรินประกอบอาหารมื้อนั้น  แอลกอฮอล์ก็มีผลกับอารมณ์แล้วยังบรรยากาศสิ่งแวดล้อมอีกล่ะ…ดูทอมเจรจาอย่างเพลิดเพลินมากกว่าจะใส่ใจฟังคำบอกเล่า  ทอมตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ผู้นำเที่ยวอย่างครบถ้วนทีเดียว

          คริสลอบพิจารณาใบหน้าของทอม  เขามองระเรื่อยตั้งแต่หน้าผากเกลี้ยงเกลาโค้งมน จมูก กระทั่งปากได้รูปที่น่าประทับจูบคู่นั้น  เสียงของทอมสดใสมีชีวิตชีวา

          “เหมือนแคว้นบาวาเรียครับ  สถาปนิกส่วนใหญ่เดินทางมาจากอิตาลี  ถ้าคุณชอบชมโบสถ์  จะเห็นภาพวาดรูปปั้นนางฟ้าเต็มไปหมดเหมือนเดินอยู่บนสวรรค์”

          “เราจะไปไหนกันต่อจากนี้นะทอม” เขาถามซ้ำ  ทอมทำท่านึกขึ้นได้ แล้วก็หัวเราะเก้อ ๆ”ไปดูบ้านเกิดโมซาร์ทไหมครับ” (Wolfgang Amadeus Mozart)

          “ตกลง” เขารับคำ จ่ายเงินค่าอาหารพร้อมทิปแล้วจึงลุกขึ้น

          “ต้องไปที่ถนนโน้นครับ”  ทอมบอก  เมื่อรถวิ่งออกไปตามถนนในเมือง

          “นี่ไงครับ  บ้านเกิดโมซาร์ทในซัลซ์บวร์ก”  ทอมบอกพร้อมเดินนำเข้าประตูใหญ่ด้านหน้า “ห้องไหน ๆ ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับห้องครัว”  ทอมกล่าวยิ้ม ๆ

???????????????????????????????
Mozart Square (จตุรัสโมซาร์ท)
ห้องครัวโมซาร์ท
ห้องครัวโมซาร์ท

          คริสหัวเราะหึ ๆ มองเข้าไปในครัวไฟแบบโบราณ  ของใช้ยังอยู่ครบถ้วน  แม้หม้อเหล็กสีดำเก่า ๆ

          “เรายังมีเวลานะครับ  ถ้าคุณอยากขึ้นไปบนยอดเขา  แล้วมองลงมาเห็บหุบเขาและหมู่บ้านอย่างในหนังที่คุณชอบ” ทอมบอกยิ้ม ๆ

          “ไม่ไกลจากที่นี่เลยครับ  หรือถ้าเหนื่อยเกินไป  จะนั่งจิบกาแฟแถวร้านริมทางก็ได้  เขาจัดไว้สวยงาม  แต่ถ้ายังไม่อยากไปที่นั่น  แวะไปดูปราสาทมิราเบลล์ไหมครับ”

          ทอมเดินมาเคียงข้างคริส  แล้วตัดสินใจเสียเองว่า “ไปดูปราสาทก่อนก็ได้ครับ  พรุ่งนี้เช้าค่อยขับรถออกไปบนภูเขา  หาอาหารกลางวันขึ้นไปทานบนโน้น  นั่งชมวิวทั้งวันก็ได้”

          “ดีเหมือนกัน”  เขาตอบกลับ  ทอมแจ่มใสจนผิวแก้มออกสีชมพูจาง ๆ ท่ามกลางแสงแดดฤดูร้อนที่แผดจ้าตอนบ่ายวันนั้น

          ท่าทีทอมสนิทสนมเป็นกันเองมากขึ้น  ไม่เหมือนเช่นแต่ก่อน  เขาเกือบกลั้นหัวเราะไม่อยู่  เมื่อสตรีสูงอายุที่มากับคณะท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง  ทอดสายตามองทอมอยางเอ็นดู  แล้วถามเขาตรง ๆ ว่า

          “คุณมาฮันนีมูนหรือพ่อหนุ่ม  โชคดีนะ…แฟนคุณน่ารักมาก”  คริสปฎิเสธ  หันไปมองคนข้าง ๆ ผิวแก้มของทอมเป็นสีชมพูจัด  เมื่อได้ยินประโยคคำถามนั้น  เขาคิดว่าทอมดูน่ารักไปทุกอิริยาบถ  จนเกิดอารมณ์อยากจะสัมผัสทอมขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้  โอกาสเป็นของเขาอีกเช่นเคย

          “ฉันจะถ่ายรูปให้”  สตรีคนเดิมเอื้อเฟื้อชี้มือไปที่สะพานแคบ ๆ  ซึ่งทอดข้ามลำธารน้ำใส  ซุ้มกุหลาบเลื้อยดกหนาพันโอบราวสะพานนั้น  กำลังมีดอกสะพรั่งสวยงามเหมือนภาพวาดในความฝันมากกว่าจะเป็นจริง

          “ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกสักใบก็ไม่เลว” เขาเปรยขึ้น  ส่งมือให้ทอมเกาะ พาเดินขึ้นไปบนสะพาน

          “ขยับเข้าหากันอีกนิดเถอะจ้ะ”  ช่างภาพจำเป็นตะโกนบอก  “ฉันอยากได้ภาพโรแมนติกสักนิด  ซุ้มกุหลาบเลื้อยกับคู่รักบนสะพานนี่งามจริง ๆ”

          “ไม่เลวๆ”  เสียงคนข้าง ๆ เห็นด้วย

          “เอาละ…ฉันจะเก็บไว้เป็นที่ระลึก  แล้วให้คุณสองคนคนละใบ”  เจ้าของกล้องกล่าว

          ทอมยิ้มอย่างขำ ๆ รู้สึกถึงวงแขนล่ำโอบไหล่เขาไว้อย่างสนิทสนม “นึกว่าเล่นละครก็แล้วกันทอม  ให้คนแก่มีชีวิตต่อไปอีกสักสิบปี  แกอยากได้ภาพโรแมนติกนี่  จริงมั้ย  เราต้องแสดงให้เห็นจริงจังหน่อย”

          สตรีเจ้าของกล้องเดินยิ้มร่าเข้ามาหา  ภาพที่ออกมาชัดเจนสวยงามจนใคร ๆ อีกหลายคนเกรียวกราวกรี๊ดกร๊าดชื่นชมแล้วเลยถือโอกาสใช้ฉากนั้นถ่ายภาพกันบ้าง  จนคริสหัวเราะ  รับรูปมาก่อนจะหันมาบอกทอมว่า

          “สวยจริง ๆ อย่างที่แกบอกเลย  ผมไม่นึกว่าสะพานไม้เก่า ๆ จวนพังกับซุ้มกุหลาบเลื้อยออกดอกสะพรั่งจะกลายเป็นฉากหลังได้ดีเพียงนี้”

          “ครับ…สวยจริง  ดอกไม้กำลังบานเต็มต้น” ทอมตอบ

          “ผมแอบเด็ดมาให้คุณด้วยนี่ไง”  คริสทำเสียงแบบเด็กแอบลักของ  ขณะยื่นกุหลาบหนูสีชมพูเจิดจ้าทั้งช่อให้ทอม  จนทอมอดหัวเราะไม่ได้  รับดอกไม้มาแล้วพึมพำขอบคุณ  อารมณ์วาบหวามอาบอิ่มทั้งใจและกาย

          “ดอกไม้สวย  แต่แบบก็สำคัญ”  เสียงแผ่วเบาเหมือนจะกระซิบ  ขณะเดินเคียงกันมาตามสนามหญ้าเขียวขจีที่สลับด้วยดอกไม้นานาชนิด  “ใคร ๆ ก็ชมว่าคุณน่ารัก”

          ทอมหันไปแล้วต้องรีบเมิน  ด้วยดวงตาคมกริบราวจะเชือดเฉือนความรู้สึกของคนข้าง ๆ ยังจับจ้องอยู่ที่เขาอย่างจงใจ…เขาเสชี้ให้คริสดูสิ่งก่อสร้างข้างหน้า ทอมอธิบายไปเรื่อย ๆ

          คริสไม่ได้ใส่ใจเรื่องราวเหล่านั้นเช่นเคย  อะไรเป็นเหตุให้เขาอ่อนไหวไปกับทอมอย่างมากมายเพียงนั้น

          “นี่รูปของคุณ”  เขาบอก  “ยายแก่แกให้คุณกับผมคนละใบไว้เป็นที่ระลึก”

          “ขอบคุณครับ” ทอมสอดภาพนั้นลงเป้ที่คล้องไหล่

 

 

 

 

          คริสถอนใจเฮือก เมื่อเห็นทอมที่ห้องโถงเย็นวันนั้นอีกครั้ง  บรรยากาศกับสิ่งแวดล้อมอีกละมังที่พาให้อารมณ์เพริศแพร้วไปอีกครั้ง    ที่เห็นว่าทอมน่ารัก น่าทนุถนอมปานนั้น  ความรู้สึกอ่อนหวานวาบเข้าหัวใจ  เมื่อเข้ามานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับนักท่องเที่ยวกลุ่มเดิมที่ร้านในหมู่บ้าน  ซึ่งประดับไฟสีเจิดจ้าต้อนรับคนต่างถิ่น

          สายลมเย็นพัดเอื่อย ๆ   คริสเผลอสูดกลิ่นหอมอ่อน ๆ เข้าปอด…ชื่นใจ  และวาบหวานอย่างบอกไม่ถูก…ทอมใช้น้ำหอมอะไรนะ  เขากดคางตัวเองเข้ากับไหล่ทอมอย่างเผลอไผล  ท้องฟ้าเบื้องบนไร้เฆม  ดาวพราวพรายและเสียงสายลมผ่านแนวป่าสนหวีดหวิวไกล ๆ เสียงเพลงอ้อยอิ่งอยู่รอบกาย…เรือนผมทอมอ่อนนุ่มและหอมกรุ่นกลิ่นหอมเย็นแสนจะอ่อนหวาน

          เสียงตบมือกราวรอบข้าง  เรียกสติทั้งหลายให้กลับมาอีกครั้ง  คริสคลายวงแขนที่โอบเอวกลมกลึงของทอมออกช้า ๆ กระซิบว่า “เพลงจบพอดี…ดื่มอะไรไหม ทางโน้นมีไวน์  เขาว่ารสดีทีเดียวนะทอม”

          “ขอน้ำผลไม้ดีกว่ามังครับ” ทอมตอบเสียงเบา  “ดื่มไวน์หลายแก้วชักมึน”

          คริสหัวเราะ กุมมือทอมพาเดินไปโต๊ะเครื่องดื่ม  ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกว่า “บรรยากาศ เสียงเพลง อะไรหลายอย่างทำให้มึนได้พอกับไวน์แก้วเดียว”

          ทอมสบตาคมกริบ  แล้วรีบเมินหนี  ประกายเจิดจ้าในดวงตาคู่นั้นเองที่เขย่าอารมณ์ของเขาจนกระเจิดกระเจิง  พยายามเรียกสติกับคืนมาอีกครั้ง

          “ไก่ทอดที่นี่ไม่แพ้กรินซิ่ง(Grinzing)นะคุณ  ไวน์ก็รสดี”  คริสเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “คุณดื่มไปกี่แก้วแล้ว”

          “สองครับ  แค่นี้ก็มึนแย่แล้ว คุณต้องขับรถ  ไม่เพลา ๆ บ้างหรือครับ”  ทอมอดถามไม่ได้

          “ผมดื่มแก้วที่สามเป็นแก้วสุดท้าย  คุณกลัวอะไรหรือทอม” เขาเรียกชื่อทอมแผ่วเบา

          “เปล่าครับ” ทอมเหลือบมองนาฬิกา

          “ผมไม่ดื่มก็ได้  ถ้าคุณเป็นห่วง”

          “ผมเกรงไปว่าคุณจะต้องขับรถกลับนะครับ” ทอมรีบแก้นัยแห่งคำพูด

          “ไวน์สามแก้ว  ไม่มึนนักก็จริง  แต่ผมคงหลับเป็นตาย”

          ทอมนั่งนิ่ง  จวบถึงที่พัก  เขากลับขึ้นห้อง  อาบน้ำสวมชุดนอน  กำลังจะขึ้นเตียง  ประตูห้องก็ถูกเคาะ  เสียงลอดเข้ามาว่า

          “คุณ…ทอม…”

          เขาก้าวลงจากเตียง เปิดประตูห้อง  คริสยังอยู่ในชุดเดิมผมยุ่ง  หน้าแดง เมื่อบอกว่า

          “ปวดศรีษะจัง  สงสัยไวน์พื้นเมืองทำพิษ  ผมไม่เคยดื่มมาก  ลืมทุกทีว่าตัวเองกับแอลกอฮอล์ไม่เป็นมิตรกันนัก…แย่จัง”

          ทอมเหลือบตาขึ้นมองที่หน้าผาก  เห็นโลหิตซึมเป็นทาง  “ผมจะมาขอยาสักเม็ดเท่านั้น  เข้าไปล้างหน้า  เงยขึ้นมาไม่ทันระวัง  โดนขอบตู้ในห้องน้ำแรงหน่อยไม่มีอะไรหรอก”

          “ผมมีกล่องยาฉุกเฉิน  ปลาสเตอร์ปิดแผลกับยาใส่แผลสดก็มี…รอสักครู่นะครับ” เขาลากกระเป๋าออกมาค้นกุกกัก  แล้วจึงนึกขึ้นได้  ลากเก้าอี้มาให้บอกว่า

          “นั่งก่อนนะครับ  จะใส่ยาทำแผลให้ เลือดยังไหลอยู่เลย  คงโดนตรงแง่งพอดี  ลึกมากไหมก็ไม่รู้  จะต้องเย็บไหมครับ  เดี๋ยวถามเจ้าของโรงแรม…เผื่อมีหมอ”

          “อย่า…” เขาโบกมือ  ทรุดตัวลงบนเก้าอี้  “อย่าวุ่นวาย แผลเย็บก็หายเร็วหน่อย…ช่างเถอะ  เท่าที่มียากับปลาสเตอร์ก็ดีถมไปแล้ว  ทีนี้ผมคงเข็ดไวน์พื้นเมืองไปอีกนาน”

          ทอมบรรจงใช้สำลีชุบน้ำอุ่นทำความสะอาดรอบแผลก่อนจะอุทานว่า “แผลลึกนะครับ…คงถูกเส้นพอดี  ใส่ยาแล้วปิดแน่นเลยดีกว่า…”

          นิ้วมือของทอมแผ่วเบานุ่มนวลจนแทบไม่รู้สึก  …อาการมึนยังคงอยู่ครบถ้วน…ดวงตาทั้งคู่ของคริสพร่าพรายด้วยอะไรหลายอย่าง…ทอมคงจะอาบน้ำใหม่ ๆ  กลิ่นสบู่และแป้งหอมระรวยชื่นใจ

          ฤทธิ์ไวน์บวกกับความรู้สึกหลายอย่างเป็นผลทำให้เขาทำอะไรบ้า ๆ ออกไปจนได้  เมื่อรวบร่างข้างหน้าเข้ามาโดยเร็ว

          ทอมไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว  เขาถลา…ของในมือซึ่งกำลังเก็บหกกระจาย  ร่างโปร่งบางถูกรวบไว้แน่น  แล้วก่อนที่เขาจะทันรู้ตัว  ริมฝีปากร้อนระอุคู่นั้นก็ทาบทับลงบนกลีบปากนุ่มนวลของเขาเสียแล้ว  กลิ่นไวน์ยังคลุ้ง  ทอมส่ายหน้า  เสียงพึมพำอู้อี้มาจากซอกคอของเขาว่า

          “ผมรักคุณ…ทอม…ได้ยินมั้ย…ผมรักคุณ”

          ทอมขยับกายหนี ร้องออกไปว่า “คุณกำลังเมา…ปล่อยผม…ปล่อย…”

          “เปล่า…ไม่ได้เมา…ไม่ได้เมาเหล้า…แต่ผมเมาคุณต่างหาก”  วงแขนนั้นแน่นราวกับปลอกเหล็ก สัมผัสนั้นราวกับประจุไฟฟ้าแรงสูง  เขาสะท้านไปทั้งกายใจ

          “ทอม…”เสียงกระซิบพร่าอยู่ข้างหู  เขาผลักใบหน้าที่ก้มเข้ามาหา…ร้องไปว่า

          “ไม่ครับ…ปล่อยผม..คุณไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป  คุณเมาครับคุณคริส…”

          คำพูดประโยคสุดท้ายนั้นเองที่ยั้งการกระทำทั้งหลายของเขาในที่สุด  “ทอม”  ร่างสูงเขยิบเข้าใกล้  แล้วชะงัก “ขอโทษ…ขอโทษจริง ๆ ผม…ลืมตัว”

          “นี่ครับยาแก้ปวดศรีษะ”  ทอมส่งเม็ดยาใส่มือยื่นแก้วน้ำตามมาเป็นลำดับ  เขารับมากลืน  กระดกแก้วน้ำตามแล้ววางลงบนโต๊ะใกล้ตัว  หน้ายังสลดอย่างเห็นชัด  พึมพำออกไปว่า

          “โกรธผมหรือเปล่า…ผมขอโทษ…คุณยังไม่ได้ยอมรับคำขออภัยของผมเลย”

          ทอมนิ่งอึ้ง   …มือใหญ่แข็งแรงเอื้อมมารวบมือเล็กบางของเขาไปกำไว้แน่น  ทอมไม่ได้ชักกลับอย่างที่ตั้งใจ

          “ทอม”  เสียงกระซิบแผ่วเบา  “ยกโทษให้ผมหรือยังครับ”

          “ครับ”  เขาพึมพำแบบไม่รู้ตัว  รอยยิ้มจุดที่มุมปากของคริสอ่อนโยน  มีผลให้หัวใจเขาอ่อนเป็นขี้ผึ้งถูกลนอย่างง่าย

          “ทอม” เสียงพึมพำข้างหู  ทอมไม่รู้ตัวว่า  ก้าวเข้าไปในอ้อมแขนของคริสอีกครั้งได้อย่างไร  หากครั้งนี้คริสโอบเขาไว้อย่างนุ่มนวลทนุถนอม เสียงกระซิบแผ่ว ๆ อ่อนโยนตามมาอีกว่า

          “ไม่โกรธผมแล้วใช่มั้ย…ทอม…ผมรักคุณ”

          “เคยพูดกับใครอย่างนี้ไหมครับ” ริมฝีกปากอุ่นจัดคู่นั้นประทับลงบนกลีบปากนุ่มนวลของเขาอีกครั้ง…หากคราวนี้ทอมสัมผัสด้วยความรู้สึกอ่อนหวานและเต็มใจเป็นครั้งแรก

          “หนุ่มน้อย…ผมดีใจจริง ๆ ที่รู้จักคุณ…โชคดีจริง ๆ ทอม”

          “ทำไมครับ”  ทอมถามทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังซุกกับแผ่นอกกว้าง

          “ไม่โชคดีหรือ  ที่ได้รู้จักคนที่น่ารัก  และแสนฉลาดอย่างคุณ  ผมพาคุณไปส่งที่เตียงนะ”  เขาประทับจูบไปทั่วหน้า คลี่ผ้าห่มคลุมให้  พร้อมกับบอกว่า

          “พบกันพรุ่งนี้เช้านะทอม…ผมรักคุณ…ขอบใจสำหรับยาและผ้าพันแผล  และทุกสิ่งทุกอย่าง”

          ทอมยิ้มรับ มองจนร่างสูง นั้นลับออกไปจากประตู  เขาซุกหน้าเข้ากับหมอน  หลับไปอย่างมีความสุข

 

 

          คริสหัวเราะกับตัวเอง  ทอมเป็นคนฉลาดและมีความรู้ก็จริง  แต่ยังอ่อนหัดนักกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ทั้งปวง  บอกได้ไม่ยาก  เด็กเอ๋ย…ริมฝีปากของทอมสะอาดหอมหวาน  เนื้อตัวก็หอมกรุ่น  ก่อนกลับไปคราวนี้  ทอมจะไม่เหลืออารมณ์ใด ๆ ไว้ให้คนอื่นแน่นอน

          “อาหารเช้าสองที่ในห้องนอน  ห้องหมายเลขที่…ครับ…” คริสโทรสั่งที่ล็อบบี้

          เขาสลัดผ้าห่มออกจากตัว  รู้สึกกระปรี้กระเปร่า  แม้จะยังเจ็บที่แผลอยู่บ้าง  เมื่อคิดถึงทอม  ถึงอย่างไรก็เป็นคนเก่ง  น่ารักน่าสัมผัส  น่าถือโอกาสเป็นเจ้าของ  แม้จะชั่วคราวก็เถอะ

          สัมผัสและรสจูบที่ให้ไว้กับทอมเมื่อคืน  คงเร้าอารมณ์บ้างเหมือนกันหละน่า  แม้ทอมจะพิเศษกว่าคนอื่น ๆ ที่ผ่านมาตรงที่ไม่มีประสบการณ์พอที่จะโต้ตอบให้ความสัมพันธ์นั้นออกรสชาติเท่าที่ควรก็เถอะ  แต่อีกไม่นาน  นับจากวันนี้เป็นต้นไป  ทอมจะเรียนรู้และคงยินดีจะเสนอสนองตามที่เขาต้องการ

          และจริงอย่างที่เขาคิด  ทอมสัมผัสอารมณ์ที่เขาป้อนให้เมื่อคืนอย่างเห็นได้ชัด  หนุ่มน้อย…คริสครางในใจอย่างเป็นสุข

 

 

          ภูเขาสลับซับซ้อน  ปกคลุมไปด้วยหญ้าเขียวขจี  ดอกไม้ป่าต่างสีพราวตลอดทางที่รถวิ่งผ่านไป  ยิ่งสูงขึ้น  ลมบนยอดเขาก็เย็นลง ไม่ร้อนเช่นกลางใจเมืองข้างล่าง  กระท่อมไม้ตามไหล่เขาดูเหมือนบ้านตุ๊กตาสวยงามเหมือนในนิทานจริง ๆ

          เขาจอดรถใต้ต้นแอปเปิ้ลป่าที่ขึ้นเป็นดงตามทาง  “เหมือนในหนังสือเรื่องที่คุณชอบหรือยังครับ” ทอมหันมาถามและชี้มือไปที่ยอดเขาสูง  ปกคลุมไปด้วยป่าสนเขียวครึ้ม  “ยอดเขาที่เราอยู่นี่ไม่สูงนัก  แต่ก็สวยที่สุด  เพราะหญ้าเขียว  ดอกไม้สวย  และเงียบสงบ”

          “คุณเคยมาที่นี่หรือ”  เขาถาม

          “ครับ”  ทอมตอบ  “มากับคณะอาจารย์พามาครับ”

          เขาลอบถอนใจเฮือก เอื้อมมือไปโอบเอวเล็กกลมกลึงของทอมไว้มั่น “ลมตรงนี้แรง  ผมกลัวว่าคุณจะถูกพัดปลิวลงไปข้างล่าง”

          ทอมขยับออกห่าง  “คุณจะหนีไปไหนหรือทอม”

          “ทางโน้นมีลำธารครับ  น้ำใส  อยากเห็นปลาเทร้าต์ไม่ใช่หรือครับ”  ทอมบ่ายเบี่ยง  แก้มเป็นสีชมพูระเรื่อ  คริสได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ที่เขานึกนิยม

          เขาจูบทอมที่หน้าผาก แก้ม ริมฝีปากนุ่มนวลเป็นแห่งสุดท้าย  แค่นี้ทอมก็หมดฤทธิ์  ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เขาภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก

          เขาโอบเอวทอมไว้  พาเดินไปด้วยกันจนถึงลำธารน้ำใส  ทอมนั่งบนกอหญ้าริมน้ำ  มองฝูงปลาเทร้าต์แหวกว่ายอยู่ระหว่างโขดหินน้ำใส  ใจเต้นระทึก  สัมผัสนั้นก่อกวนอารมณ์เหลือเกิน

          “ทอม” เสียงกระซิบแผ่ว ๆ ที่ข้างหู  ทอมอิงแอบแผ่นอกกว้างและอบอุ่นอย่างเป็นสุข  ใกล้กันจนได้กลิ่นโคโลญจน์

          “ผมไม่เคยมีความสุขเท่าวันนี้เลย  คุณเชื่อไหม”  คริสกระซิบ  เขากระชับอ้อมกอดขึ้นอีกนิด

          “น้ำไม่เย็นเลยครับ”  ทอมเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอด  ใช้มือวักน้ำในลำธารเล่น

          “จากนี้เราจะไปไหน” เขาถามขึ้น

          “ทะเลสาบพระจันทร์ไงครับ โมนด์เซ(Mondsee)…มีเรือให้เช่าที่นั่น ทะเลสาบที่สวยที่สุด”

 

/////////

 

mirabell4
Mirabell garden

          ด้วยความสวยงามของสวนดอกไม้มิราเบลล์(Mirabell garden) ที่ได้รับการดูแลรักษาให้งดงามอยู่เสมอ  พระราชวังมิราเบลล์จึงเป็นสถานที่ยอดนิยมที่คู่บ่าวสาวจะมายืมใช้เป็นสถานที่ถ่ายภาพในวันแลกเปลี่ยนคำสาบานในการใช้ชีวิตคู่กันอย่างมากมายในแต่ละวัน

เขาพาทอมกลับมาเวียนนาอีกครั้ง…มาสัมผัสกลิ่นไออดีต…เมืองที่เรารักกัน…หวังลึก ๆ ในใจว่าทอมจะยอมใจอ่อนอภัยให้เขาบ้าง  และไม่พลาด          ที่จะพามาสถานที่แห่งนี้  เขากุมมือทอมไว้แน่นพร้อมคุกเข่าลง “แต่งงานกับผมนะทอม…ผมรักคุณ…ให้อภัยในความผิดพลาดที่ผ่านมาของผมนะ”  เขาบรรจงสวมแหวนและประทับจูบลงบนนิ้วเรียวสวยของคนที่เขารัก

          ทอมนิ่งอึ้ง  มองตาปริบ  ๆ  ไม่คิดว่าคริสจะยอมทำเพื่อเขาขนาดนี้  น้ำตาแห่งความสุขของเขา…มันเอ่อจนล้นออกมานอกดวงตา

          “ผมก็รักคุณครับ…”  ทอมพึมพำแผ่วเบาทั้งน้ำตาแห่งความปิติ

          เขาโอบกอดทอมสูดกลิ่นกายหอม ๆ  ที่เป็นของเขาคนเดียวตั้งแต่เมื่อครั้งอดีต จากนี้และตลอดไป  แฝงด้วยอารมณ์เป็นสุขเงียบ ๆ  บอกตัวเองว่าบุคคลเบื้องหน้าเป็นจุดรวมแห่งความรักทั้งมวล…ความรักที่เขาปล่อยให้มันกระจัดกระจายไปคนละทิศทางอย่างไร้จุดหมายมานาน

 

/////////

 

mirabell3
Schloss Mirabell ภายในพระราชวังมิราเบลล์

          พระราชวังมิราเบลล์ที่โก้หรู เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในซัลซ์บวร์ก(Salzburg)… และเมื่อภาพยนตร์โรแมนติกคลาสสิกในยุคปี ’60 เรื่อง The sound of music ที่มีฉากสำคัญถ่ายทำบนจตุรัสมิราเบลล์พลัทซ์ออกฉายทั่วโลก ก็ได้ส่งผลให้ซัลซ์บวร์กเป็นที่รู้จัก และกลายเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางของนักเดินทางทั่วโลก

          สร้างโดย ปริ๊นซ์ อาร์คบิชอป โวลฟ์ ดีทริซ ฟอน ไรเตเนา(Prince Archbishop Wolf Dietrich Von Raitenau) ให้ภรรยาผู้เป็นที่รัก ซาโลเม อัลท์ (Salome Alt) เมื่อปี 1606 และพระราชวังแห่งนี้ยังเป็นที่กำเนิดลูก ๆ รวม 15 คน

Hiddlesworth [Chirs x Tom] Wachau

 

          คืนแรกวันฝนตกที่ทะเลสาบ…คืนต่อมาวันทอมป่วยหนัก…ผิวกายขาวนุ่มนวลอบอุ่น  มีชีวิตชีวา  ให้ความรู้สึกที่เขาภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ…ร่างกายอันน่าทนุถนอมนี้  ทอมยังคงเขินอาย   แม้กระทั่งเมื่อนอนกอดกันตามลำพังบนผ้าสักหลาดหน้าเตาผิงที่มีท่อนฟืนลุกโชน  ในกระท่อมบนเขาสูงกลางป่าสน  ผมของทอมนุ่มมือยามสัมผัส


 

          เขายังจำได้ทุกตารางนิ้ว  ที่เขาเป็นเจ้าของชั่วระยะเวลาไม่กี่เดือน  ครั้งสุดท้ายนั้นเขายังจำได้ว่ามีความสุขที่สุด  เมื่อทอมซุกหน้าอยู่บนแผ่นอกกว้างของเขา  และกระซิบว่า

          “ผมรักคุณครับ…”  ทอมจูบตอบ


 

          คริสผ่อนลมหายใจยาว  ถ้าไม่กลัวว่าจะเสียงาน  เขาคงหมุนปุ่มเครื่องรับฟังจากการแปลในที่ประชุมจากภาษาอังกฤษเป็นเยอรมันนานแล้ว  ทอม…ทำงานที่สหประชาชาติในหน้าที่ล่ามของการประชุมระดับประเทศ  ทอมไม่เหมือนใครจริง ๆ  เรียนได้เกียรตินิยมในขณะว้าวุ่นใจที่เขาจากลาโดยไม่ได้บอกกล่าว   เสียงของทอมแจ่มใส ชัดแจ๋วภาษาเยอรมันไม่เพี้ยนสักคำ สมดังที่ทอมเคยคุยอวดนักหนาหน้าตาภาคภูมิว่า

          “มหาวิทยาลัยเวียนนานะเก่าเป็นที่สอง  รองจากซอร์บอนน์ของปารีสนะครับ  แล้วคณะล่ามและแปลของเราก็มีชื่อเสียงไปทั่วโลก  ใครจบจากนี่รับรอง  ที่ไหน ๆ ก็แบมือรับ”

          แต่ทอมก็เรียนจบได้เกียรตินิยมและดำเนินชีวิตอยู่มาได้อย่างดี  โดยไม่มีเขา

          เขาไม่ได้โกรธทอมจนนิดเดียว  ทอมมีสิทธิ์ที่จะโกรธ  เกลียดเขาทุกประการ…เขามันไม่ดีเอง


 

          เขาขับรถเอื่อย ๆ กลับบ้าน  เขาโง่ที่ไม่รู้ใจตัวเองว่า  ไอ้เกมสนุกครั้งนั้นที่ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ ก็เพราะรักทอมนั่นเอง…เขารักทอม  ถวิลหาอาวรณ์  แต่ไอ้สิ่งที่เขาเติบโตมานั่นแหละ  ทำให้ไม่รู้จักใจตัวเอง

          คำตอบทั้งหลายคลี่คลายวันนี้เอง  ไอ้ความสุขที่ไม่จีรัง  ความกระวนกระวาย  ความเหงาว้าเหว่บ้าบอคอแตกเมื่อสองปีที่ผ่านมาก็เพราะอารมณ์ถวิลหาถึงทอมนั่นแหละ

          ภาพทอมในชุดราตรีสโมสรสีดำเข้มเรียบสะอาดเมื่อครู่ติดตาติดใจ  แม้สัมผัสเมื่อครู่ก็เรียกอารมณ์หวาบหวานอ่อนโยนในอดีตให้หวนกลับมาจนแทบจะทนไม่ได้  คริสดับไฟหน้ารถ  ฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย  เดวิด(คนขับรถประจำตำแหน่ง)ยืนจ้องอยู่ที่ประตู…ช่างหัวคนขับรถมัน…หัวใจเหมือนจะขาดรอน

          คริสกำมือทั้งสองเข้าหากันแน่นเขม็ง  โกรธ  ผิดหวัง  เจ็บช้ำและท้ายสุด  เมื่อเดินขึ้นบ้าน  อะไรก็ดูขวางหูขวางตาไปเสียหมด  เดวิดถอยกรูด รับกุญแจรถแทบจะไม่ทัน  เสียงตวาดแก้วหูแทบชาว่า

          “เตรียมรถแต่เช้านะ  ฉันจะไปธุระ…”

          “ครับผม  ท่านจะดื่มอะไรก่อนนอนไหมครับ  โกโก้ร้อน  หรือนมเย็น…”

          “ไม่…ไม่กินโว้ย…”  เขาก้าวขึ้นบันไดแล้วตะโกนกลับลงมาว่า  “เอาบรั่นดีมาให้ ทั้งขวดนะ”

          “ครับผม” เดวิดถอนใจเฮือก  แม่ครัวเยี่ยมหน้าตื่น ๆ มาจากข้างล่าง “ท่านเป็นอะไรนะแก  ไม่เคยเห็นมึงมาพาโวยสักที”

          “ไม่รู้…ผมจะรีบเอาบรั่นดีไปให้” เดวิดตอบ

          “สามปีมาแล้ว  เดวิดเอ๋ย  ป้าว่าพิกล ๆ อยู่นะ…รีบเอาของขึ้นไปให้ท่านเถอะ”

          เดวิดรับคำมือไม้สั่น  กลัว ๆ กล้า ๆ พิกล  หากเมื่อกลับขึ้นไปรอบสองอย่างเป็นห่วง

          “ป้า…เหล้าหมดไปตั้งแยะ…ท่านนอนแผ่อยู่บนเตียงทั้งชุดราตรีสโมสรนะ  รองเท้าถุงเท้ายังครบชุด  ทำไงดี”

          “ก็แกกับฉันนะสิ”

          “ไปด้วยกัน…นายของฉัน ๆ เลี้ยงมากับมือ  แกจะขึ้นมาช่วยป้าไหมล่ะ”


 

          หลังกลับจากงานเลี้ยง  ทอมนอนซุกตัวอยู่บนเตียงอันอบอุ่น ไม่อยากจะลุกขึ้นมาเลย  เขาไม่อยากจะพบเจ้าของรถสีดำคันนั้น  ยังไม่พร้อมเผชิญหน้าด้วยอารมณ์ซับซ้อนหลายอย่างนัก

          เจ็บแค้น…อาวรณ์…ถวิลหา…ชอกช้ำ  มันคละเคล้ากันไป  จนเขาสุดจะทน  แล้วภาพต่าง ๆ ในอดีตก็ผุดขึ้นมาเป็นระลอก  ภาพวันคืนแห่งความหวานชื่นของเขาและคริส  สัมผัสทุกตารางนิ้วบนร่างกายของเขา  แม้มันจะผ่านมาสามปี  ทอมก็ยังรู้สึกราวกับว่าเขาสัมผัสมันเมื่อวานนี้…สัมผัสนั้นยังอ่อนหวานเป็นความรู้สึกที่เขาไม่มีวันลืม

          ทำงานมาตลอดห้าวัน  คนเรามันต้องมีเวลาพักผ่อนบ้าง เขาอาบน้ำแต่งตัว  ขับรถเพื่อออกไปหาอาหารทาน  และพักผ่อนอ่านหนังสือในเซ็นทรัลปาร์คสวนสาธารณะของเมือง

          “ทอม“ เสียงเขาห้วนขึ้นมาเล็กน้อย ทอมเซไปนิดหนึ่งเมื่อถูกลากตัวเข้ามาจนชิดร่างสูงใหญ่นั้น  รถสีดำเป็นมันจอดอยู่ตรงนั้นเอง

          เสียงของคริสเฉียบขาดเมื่อสั่งกับคนขับรถว่า “เอาสตางค์ไปนะเดวิด ร้านกาแฟหัวมุมทางโน้น แกหาอะไรกินแล้วไม่ต้องมา  ฉันจะเอารถไปรับเอง”

          ทอมขัดขึ้น  หากไม่อาจดิ้นให้หลุดจากมือแข็งแรงได้ดังใจนึก  เกรงสายตาคนผ่านไปมา  เสียงคริสปรามเขาว่า “รถของผมติดป้าย ซี.ดี. รถคณะทูตนะคุณ อย่าให้ชาวบ้านเอาไปซุบซิบได้ว่ารถคณะทูตฉุดคุณขึ้นรถก็แล้วกัน”

          เขาหายใจหอบ  ไออุ่นในรถวูบเข้าทันทีที่ก้าวขึ้นไปนั่งอย่างขัดใจ  คริสตามขึ้นไป  ปิดประตูสนิทแน่น  ดวงตาคมจ้องใบหน้าของเขาเขม็ง  หน้าขาวนวลสีน้ำนมอ่อนวัยไม่ต่างกับอดีตเท่าไรนัก  คริสถอนหายใจเฮือก  เพียรเก็บอารมณ์ปรารถนาล้ำลึกอย่างอดทน  ถ้าไม่เกรงว่าทอมจะผลุนผลันลงจากรถเสียก่อน  เขาคงรวบร่างทอมเข้ามากอดแล้ว

          อยากจะจูบให้หายคิดถึง  หายอาวรณ์ถวิลหา  ที่เพิ่งจะรู้ใจตัวเองก็ครั้งนี้…อยากจะบอกว่าสามปีที่ผ่านมา  เขาไม่เคยมีความสุขที่แท้จริงกับใครคนไหนเลย  นอกจากทอมเท่านั้น  ขอให้เขาได้มีโอกาสแก้ตัวอีกสักครั้งเถิด

          คำพูดเหล่านั้นออกมารอที่ริมฝีปาก แล้วหายกลับลงไปอีก  เมื่อเห็นสายตากร้าวแข็งของทอมไม่อ่อนลงแม้สักนิดเดียว  มันยังคงไร้ชีวิตชีวาหมดแววหวานอย่างที่เขาเคยจำได้

          “ปล่อย…” ทอมร้องเบา ๆ

          “เรามีเรื่องจะต้องพูดกัน  ตราบใดที่คุณยังไม่มีใครใหม่…ผมมีสิทธิ์ทางใจที่เราเคย….” คริสเอ่ย

          “ผมจะกลับบ้าน…ไม่สนุกนักหรอก ถ้าคุณจะมาตามรบกวนชีวิตผมแบบนี้” ทอมขึ้นเสียง

          “ผมไม่ได้กวน…”  เขาปฎิเสธเสียงห้วนจัดขึ้นมาบ้าง  จนทอมนึกเกรง

          “ให้โอกาสผมบ้างสิทอม…ผมรักคุณนะ  อยากจะขอแก้ตัวอีกสักครั้ง  ได้โปรดเถอะ…ขอให้เข้าใจผมบ้าง”

          พูดออกไปแล้ว เขาก็ประหลาดใจที่กล่าวออกไปได้อย่างไรกัน  มันคงอัดอั้นเต็มที่นั่นเอง…ทรมานสิ้นดี  แต่จะให้ทิ้งทอมแล้วลืมเขาก็ทำไม่ได้เสียแล้ว  บอกว่าคนเดียวในโลกที่เขาต้องการไม่ใช้ใครอื่น  ก็ทอมนั่นแหละ

          “ผมไม่มีโอกาสอื่นจะให้ใครอีกแล้วครับ”  ทอมแทบไม่รู้ตัวว่าพูดออกไปได้อย่างไร

          “ทำไม” เสียงคริสแหบพร่า  หัวใจเหมือนจะหยุดเต้นไปกับคำตอบนั้น

          “ผมจะแต่งงาน” ทอมตอบกลับ

          “บ้า” เขาพลั้งปาก  แล้วจึงรู้สึกตัว  มือกำรอบแขนของทอมแน่นเขม็ง  “เป็นไปไม่ได้ ผมไม่เชื่อ…คุณจะรักใครได้อีก”

          ทอมหัวเราะเสียงเย็น “ได้โปรดเถอะครับ  อย่ายุ่งอย่ากวนผมอีก”

          “ทอม…”  คริสแทบจะตะโกนถ้าทำได้ อารมณ์พลุ่งพล่านราวน้ำเดือด  เขารวบร่างของทอมเข้ามาหาแผ่นอกกว้าง  ครั้งนี้ทอมไม่ได้ขัดขืนหรือดิ้นรน  เหมือนหุ่นไร้ชีวิตชีวา  มิใยที่เขาจะรุกรานกอดจูบเหมือนคนบ้าคลั่งก็ตาม

          คริสประทับจูบลงบนกลีบปางบางนั้นอย่างรุนแรง  เขาจูบทอมที่ปาก คาง แก้มและซอกคอ ทอมก็ยังคงเหมือนหุ่นอยู่นั่นเอง  เขาเองที่เป็นฝ่ายถอนกลับ  เจ็บปวดยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ

          “ผมจะกลับได้หรือยังครับ” ทอมถามหน้าตาเฉย

          “บ้า…คุณนะบ้าที่สุด” คริสคำรามเสียงกร้าว  “คุณไม่ได้รักใครแน่ ๆ ผมรู้นะ  ไม่งั้นคุณจะยอมอยู่ตามลำพังมานานขนาดนี้เลยหรือ”

          ทอมตรงไปที่รถคันเล็ก ๆ ของเขา  คริสมองตามรถคันนั้นไปจนลับสายตา  ความรู้สึกของเขาเหมือนคนเรือแตกกลางทะเลเวิ้งว้าง

          ทอมอดน้ำตาซึมออกมาไม่ได้  เขาถอยหลังลงไปนอนบนเตียงอยู่อย่างนั้น  ไม่มีจิตใจที่จะทำอะไรทั้งสิ้น


 

          เขายังคงไม่ถอย  หลังจากเลิกงานเขาตามไปหาทอมถึงบ้าน  เขากดกริ่งหน้าประตู  หวังในใจว่าทอมคงยอมมาเปิดประตูให้เขานะ

          ร่างสูงใหญ่จับจ้องไปยังประตูบานนั้นเขม็ง  ทอมเปิดประตูออกมาแล้วต้องตกใจยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน  เมื่อได้สติจะดันประตูปิดแต่คริสแทรกตัวเข้ามาเสียก่อน

          “ผมจะโทรศัพท์บอกตำรวจนะครับว่า ผู้แทนถาวรประจำองค์การสหประชาชาติบุกรุกเข้ามาในที่พักของผม”

          “ทอม” คริสรวบต้นแขนทั้งคู่ของเขาไว้แน่นเขม็ง  จนเขานิ่วหน้าคริสจึงคลายมือออกเล็กน้อย  เขาจึงสะบัดหลุด  วิ่งเข้าห้องนอนแล้วดึงประตูปิดตามอย่างว่องไว  หากแต่คริสยื่นเท้าไปสกัดไว้อย่างคล่องแคล่ว

          ทอมถอยไปจนชิดเตียง  ขึ้นเสียงเกรี้ยวกราดว่า  “อวดดีอะไรถึงเข้ามาในนี้…ออกไปนะ…ผมจะโทรบอกตำรวจเดี๋ยวนี้ละ”

          “โทรไปสิ”  เสียงคริสกร้าวขึ้นมาบ้าง  ดวงตาคมจัดสีฟ้าใสวาววับพลุ่งพล่านจนสุดระงับ “ผมจะบอกคนทั้งโลก…ทั้งยู.เอ็น.  ว่าคุณกับผมเป็นอะไรกัน  ผมไม่กลัวหรอกนะว่าใครจะแฉความเลวของผม  ผมไม่ได้ทอดทิ้งคุณ  จะให้ผมขอโทษสักกี่พันกี่หมื่นครั้งก็ยอม  ขอให้พูดกันอย่างมีเหตุผลบ้างเถิดทอม”

          “ยังไม่สายเกินไปไม่ใช่หรือทอม”  ร่างสูงใหญ่ของคริสก้าวเข้ามาใกล้

          “ผมรักคุณ  ผมอยู่อย่างนี้ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณนะทอม  คุณล่ะ…ความรักของเรายังไม่เหือดหายไม่ใช่หรือ”

          “ผมไม่มี…ไม่มีอะไรเหลือในใจสำหรับคุณอีกแล้วครับ” ทอมตอบเสียงเครือ

          “ไม่จริง” มือใหญ่แข็งแรงเอื้อมมาเชยคางเขาอย่างเบามือ

          “ผมรู้ว่าคุณก็รักผม…พูดจากใจของคุณจริง ๆ เถอะว่า คุณไม่รักผม” เสียงคริสคาดคั้น

          ทอมเบือนหน้าหนี  หันหลังให้  เสียงสะอื้นลอดมาเข้าหู คริสก้าวเข้าไปอีกนิด  สอดแขนไปรอบเอวเล็กกลมกลึงของทอม  แผ่นอกกว้างของเขาแนบอยู่กับหลังของทอม  อบอุ่นวาบหวานไปทั่วหัวใจ  สัมผัสนี้เองที่เรียกความทรงจำเก่า ๆ ให้คืนกลับมา  ทอมยังคงเรียกแรงปรารถนาให้เกิดขึ้นในหัวใจเขาทุกครั้งที่ใกล้ชิดกันอย่างนี้  ทอมมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกเขามาก

          คริสกดปลายคางลงบนกลุ่มผมอ่อนนิ่มของเขา  ยังจำวันเก่า ๆ ได้ไม่รู้ลืม  เมื่อคริสกระซิบว่า “ให้โอกาสผมอีกสักครั้งได้ไหมทอม…โอกาสที่เราจะทำความเข้าใจกันและกัน  เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของผมที่มีต่อคุณ”

          ทอมเบี่ยงกายหนี นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมเตียงตามลำพัง  โต๊ะตัวเล็กไม่ไกลจากเตียงนั้น  มีภาพถ่ายของทอมวันรับปริญญา เป็นภาพที่เขาเห็นแล้วต้องสะท้อนใจ  ภาพที่เขาไม่มีโอกาสได้ยืนเคียงข้าง…ภาพของทอมขณะรับปริญญา

          “กลับไปเถอะครับ ผมเข้าใจ ผมให้อภัย” ทอมบอกพร้อมเสียงสะอื้น

          “เราจะเริ่มต้นกันใหม่  คุณจะให้โอกาสนั้นกับผมบ้างไหมทอม”

          “ทอม” คริสรวบร่างของเขาเข้ามากอดไว้มั่น  “คุณพยายามปิดบังความรู้สึกของตัวเองไปทำไมกันนะ  ทรมานตนเองไปทำไมกัน  ผมรักคุณและคุณก็รักผม…อย่าปฎิเสธเลย  ผมรู้ว่าคุณเจ็บใจผมหรอกนะ  แต่คุณก็ยังรักผมอยู่…  เหมือนวันนั้น…จำได้ไหมทอม..ในกระท่อมบนเขากลางป่าสน…สวิช ชาเลห์  หลังนั้น  คุณบอกผมว่าคุณรักผม…จำได้ไหม  ถ้ามีโอกาสเราจะไปที่นั่นกัน   คืนนั้น…ผมมีความสุขที่สุด”

          เสียงสะอื้นลอดมาเข้าหู  ดูเหมือนทอมจะร้องไห้มากขึ้น  คริสจูบที่หน้าผากและแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา  ความหวังดูจะรำไรขึ้นทีละน้อย  ทอมไม่ได้แข็งแกร่งเช่นวันโน้น  ที่เซ็นทรัลปาร์ค

          “เราจะแต่งงานกัน”  เขากระซิบที่ริมหูของทอม

          ทอมผละจากอ้อมกอดนั้น  ดวงตาแดงช้ำมากขึ้นเมื่อตอบไปว่า “ผมแต่งงานกับคุณไม่ได้หรอกครับ”

          “ทำไม” คริสยอมรับว่าเขาตกใจสุดขีด  นิ่งอึ้ง  มองทอมด้วยความรู้สึกสับสนบอกไม่ถูก


 

          เขาหมุนปุ่มเล็ก ๆ บนเครื่องรับ  เสียงของทอมชัดแจ๋ว  กำลังแปลคำพูดของผู้แทนจากเยอรมันตะวันตกออกเป็นภาษาสเปน  สำเนียงเพราะน่าฟังเช่นเคย  เขานึกดีใจอยู่บ้างที่สามารถฟังภาษานั้นรู้เรื่อง  ดีใจต่อไปว่าเขาเตรียมตัวที่จะดักพบทอมหลังเลิกงานวันนี้

          เขาลุกจากเก้าอี้ที่นั่งประชุมมาตลอดบ่าย  เมื่อยล้าทั้งสมองและใจ  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพบทอมให้ได้  เขาเลี่ยงลงทางประตูข้าง  ทอมใช้ทางออกทางนั้นเสมอจนเขาจำได้

          “ทอม” คริสร้องเรียกออกไปค่อนข้างดัง ทอมกำลังรอเรียกรถแท็กซี่    เขาส่งเงินให้คนขับสั่งเร็ว ๆ ว่า “กลับบ้านเองนะเดวิด…”

          “ท่าน…ท่านล่ะครับ” เดวิดทำเสียงอึกอัก

          “ส่งกุญแจรถมา  แกนี่พูดไม่รู้เรื่อง แกกลับบ้าน  ฉันก็ขับรถของฉันเองนะสิ”  เขาขึ้นเสียงอย่างฉุนเฉียว  รับกุญแจจากคนขับพารถพุ่งปราดไปจอดเทียบทางเท้าข้างหน้า  ทอมถอยหลังกลับไปนิดหนึ่ง  เมื่อรถที่เขาขับปราดเข้ามาเกือบจะใกล้ตัว   แล้วทอมก็ถอนใจเฮือกทำท่าจะเดินหนี  หากคริสไวกว่า  เขาลงจากรถยึดข้อมือทอมไว้ได้ทัน  บอกเสียงเรียบ ๆ ว่า

          “คุณจะไปไหน ผมจะไปส่ง”

          “กลับบ้านครับ  ไม่ต้องก็ได้  แท็กซี่ถมไป”  ทอมยังไม่ขยับ

          “ผมจะไปส่ง” เขาย้ำความตั้งใจเดิม  “ป้ายเหลือง ผมจอดนานไม่ได้ ขึ้นมาเถอะ”

          ทอมชั่งใจชั่วครู่  ก่อนจะก้าวขึ้นรถอย่างหงุดหงิด  ดึงประตูปิดค่อนข้างแรงจนคริสรู้สึก  เขาอ้อมกลับไปประจำที่คนขับ  พารถวิ่งช้า ๆ ไปตามถนน  จนเขาแปลกใจ  “จะไปไหนครับนี่”

          “ห้องของเรา” เขาเล่าด้วยเสียงแจ่มใส  “ผมสั่งเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งห้องใหม่ แม่บ้านจัดเสร็จพอดี  ผมก็เลยจะพาคุณไปดูว่าชอบไหม”

          “ผมจะกลับบ้าน” ทอมปฎิเสธเสียงเรียบ

          เขาแอบรถเข้าข้างทาง  ดวงตาคมกริบคู่นั้นจับจ้องที่ใบหน้าของทอม “ผมรู้ว่าคุณไม่มีความสุข”

          ทอมหัวเราะเสียงเยาะหยัน “คุณพูดเองนะสิครับ  ใครว่าผมไม่มีความสุข”

          “นัยน์ตาของคุณ” เขาตอบ “ถึงคุณจะซ่อนไว้เพียงไร  ลูกนัยน์ตาของคุณก็ฟ้องตัวเอง…ซ่อนอะไรก็ได้  แต่ซ่อนแววตาตัวเองไม่มิดหรอก”

          ทอมมีทิฐิ…และผยองเกินกว่าจะกลับไปหาเขา  ความรู้สึกนั้นคงอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่วันที่เขาจากมา

          “ไปทานข้าวบ้านผมสักมื้อนะทอม” เสียงอ้อนวอนในทีดังเข้าหูเขาอีกครั้ง  “ผมเข้าใจ ว่าคุณยังโกรธ เกลียด เจ็บแค้นผมสารพัด”  แต่ผมขอร้องนะ

          ทอมกลืนก้อนแข็ง ๆ ที่รี่ขึ้นมาในลำคอลงอย่างเยือกเย็น  น้ำตาเจ้ากรรมอีกเช่นเคยที่พราวอยู่ในดวงตา  รู้ว่าเขากำลังล่อหลอก  ก่อนจะปฎิเสธออกไปว่า “ผมยังไม่พร้อมไปบ้านคุณในตอนนี้ครับ ถ้าไม่มีอะไร  ผมขอเรียกแท็กซี่กลับบ้านนะครับ”

          ทอมแกร่งขึ้นกว่าเดิมหรือแกร่งอย่างนี้มาก่อนเขาก็สุดรู้ “ผมจะไปส่งคุณที่ที่พักเอง” เขาบอกเสียงขุ่น

          “คุณจะมาเสียเวลากับผมอีกทำไมครับ” ทอมถามเสียงขื่น

          “เรื่องของคุณกับผม  ไม่มีการเสียเวลา” คริสตอบกลับเสียงขื่น  โกรธทอมจนบอกไม่ถูก  สุดท้าย  เขาผู้ไม่เคยก้มหัวหรืออ่อนข้อให้คนไหนในโลก  ก็ต้องพ่ายแพ้แก่ทอม  คนที่นั่งข้าง ๆ เขาขณะนี้  เขาจะไม่มีวันเป็นเจ้าของทอมจนชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ

          “ขอบคุณครับ” ทอมกล่าวก่อนลงจากรถ

          เมื่อถึงห้องนอน  ปิดประตูแล้วนั่นแหละ  ทอมก็หมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงพรมหน้าเตียงนั่นเอง  น้ำตาอุ่นจัดซึมผ่านร่องแก้มหยดลงสู่มือ  อารมณ์หลายอย่างประดังขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน  ทำไมเขาจะต้องร้องไห้  นึกถึงแต่เขาคนนั้นร่ำไป…ผู้ชายที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดรวดร้าวจนบัดนี้อย่างไม่รู้จักจบสิ้น

          ถ้าเพียงแต่เขาจะไม่ปรากฏกายให้เห็น  ไม่ตระเวนติดตามเขาเหมือนเงา  ทอมป้ายน้ำตาทิ้งทั้ง ๆ ยังสะอื้น  ล้างหน้าเปลี่ยนมานุ่งกางเกงสบาย ๆ แล้วออกจากห้องไปนั่งเปิดดูรายการโทรทัศน์ที่เขาชอบ ๆ ไปเรื่อย  เพื่อจะได้ไม่มีจิตใจมาคิดถึงคนใจร้ายคนนั้นอีก


 

          ทอมกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเดินทาง  จะมีประชุมที่เวียนนาสามวัน  ทำงานเสร็จแล้วมีเวลาเหลือพอ  เขาจะเลยไปเวนิซเพื่อพักผ่อนจนหมดวันลาก่อนกลับ

          เขาโทรไปหาทอมที่ทำงาน  พนักงานรับสายแจ้งว่าทอมไปประชุมที่เวียนนาเป็นเวลาสามวัน  ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อคืน เขาสบถอยู่ในใจ  เม้มปากแน่นสนิท  ความผิดหวังแล่นปราดอยู่ในจิตสำนึก  ทอมพยามยามหนีเขาจนได้ “ทอม…เขาเรียกชื่อทอมอยู่ในใจอย่างเจ็บปวด” ก่อนจะเอ่ยขอบคุณพนักงานรับสายไป

          คริสรู้สึกหัวใจเต้นถี่  ช่วงนี้งานยุ่งมากขอเคลียร์ให้เสร็จก่อน เขาจัดการสั่งแม่บ้านให้เก็บเสื้อผ้าให้พร้อม  อีกสองวันเขาจะไปเวนิซ

          “ขอเบียร์เย็น ๆ หน่อยเดวิด” เขาร้องสั่ง  “ฉันจะทำงานต่อในห้องนอนนี่”

          เตียงนอนใหญ่ขนาดนอนได้สองคน  คลุมด้วยผ้าสีฟ้ากลมกลืนกับสีพรมที่ปูเต็มห้องนอนและม่านยาวจรดพื้นสีเดียวกับที่เขาเคยใช้ที่เวียนนา  วันที่ทอมป่วยเป็นไข้หวัดรุนแรง  และเขาเป็นผู้ไปรับมารักษา ถ้าทอมรู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อครั้งกระนั้นทอมจะโกรธสักเพียงไหนหนอ

          คริสมาถึงเวนิซตามกำหนดที่กะไว้เรียบร้อยทุกประการ  โรงแรมที่พักเขาจัดการจองไว้ล่วงหน้าแล้ว  เขาเช็คไปที่ประชุม  ทอมจะมากับพวกประชุม  ถึงอย่างช้าก็พรุ่งนี้   เขาเช็คไปโรงแรมที่พวกประชุมจองล่วงหน้าจะมาพัก  แต่ไม่มีชื่อของทอม  คริสอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาทันที  หรือทอมจะเปลี่ยนไปที่อื่นแทนที่จะตรงมาเวนิซอย่างพวกประชุม

          เขาปิดประตูลงนอนก่ายหน้าผากอยู่บนเตียง  อย่างไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่านั้น  โรงแรมที่ติดต่อไปบอกว่า  พวกประชุมกลุ่มนั้นจะมาถึงในตอนบ่ายวันนี้  แต่ไม่ปรากฏชื่อของทอมร่วมอยู่ด้วย

          เขาผุดลุกขึ้นเตรียมตัวไปเดินเล่นข้างล่างเพื่อคลายความกังวลใจ  โรงแรมที่พักคนพลุกพล่าน เรือกอนโดล่าพายเอื่อยผ่านไปมา  คริสส่ายหน้ากับตัวเอง  ทอมไปที่ไหนหนอ…

          หัวคิ้วเข้มของเขาขมวดเขม็ง  ขณะแลปราดไปที่เขื่อนริมคลอง  หัวใจเต้นโครมครามแทบจะพังออกมานอกทรวงอก  ตาทั้งคู่จับอยู่ที่ร่างสูงโปร่งข้างหน้า กางเกงยีนส์ขายาวพร้อมเสื้อสีฟ้าอ่อนพร้อมเป้สะพายอยู่บนไหล่  เท้าทั้งคู่ของคริสก้าวไปข้างหน้า  เขาจำได้แม้ว่าทอมจะหันหลังให้

          ท่ายืนทอดอารมณ์ของทอมบอกว่ากำลังสบายอย่างมากมาย  เขาก้าวไปจนเกือบประชิดตัว  ทอมก็หารู้สึกไม่  แก้มนวลเบือนมาทางเขาเล็กน้อย  คริสยกมือแตะแขนของทอม  พยายามระงับไม่ให้มันสั่น  แต่ก็ยากนัก

          ทอมหันขวับมาทันที  ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้างอย่างตกใจเต็มที่  อุทานออกไปว่า “คุณ…คุณคริส”

เขารวบแขนข้างนั้นไว้  ทอมหน้าตึง

          “อย่าเอะอะไป ตำรวจมองอยู่ทางโน้น  คุณคงไม่อยากเห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ที่นี่หรอกนะว่า  นักการทูตฯลวนลามผู้ชายริมคลองเวนิซ”

          ทอมนิ่งอึ้ง  ริมฝีปากเม้นเข้าหากันแน่น  ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณตามผมมาทำไมกัน  คุณจะกวนผมไปถึงไหนกันนะนี่”

          “ทอม” คริสเลื่อนแขนลงโอบรอบเอวเขาไว้  ขืนตัวพาเดินต่อไปจนได้  “คุณจะอายผู้คนไปทำไมกัน  ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว  ที่ฮันนีมูน  ไม่มีใครเขาตำหนิหรอก  ถ้าผัวจะโอบเอวเมีย เดินชมคลองที่เวนิซนะ”

          “ผมไม่ได้เป็น…อะไรอย่างที่คุณว่านะ” ทอมเสียงดังขึ้นเล็กน้อย “กับคุณ…”

          “คุณจะว่าอย่างนั้นก็ได้  แต่เรามีอะไร ๆ ด้วยกันนะ…ไม่เป็นผัวเมียก็ไม่รู้จะเรียกอะไรแล้วล่ะที่มันชัดแจ้งกว่านี้” คริสยิ้ม ๆ

          “ผมรู้ดีว่าคุณรู้สึกอย่างไรกับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด ก็ผมยอมรับผิดทุกประการแล้วไงว่า  มันเป็นความเข้าใจผิด  ความโง่เขลาของผมเองแท้ ๆ”

          “ผมรักคุณ  ได้ยินหรือเปล่า  เมื่อก่อนอาจไม่รู้ตัว  แต่พอจากกันแล้วผมถึงได้เรียนรู้…ปล่อยอดีตไปเถอะนะทอม  เรามีโอกาสที่จะเริ่มต้นกันใหม่ไม่ใช่หรือ”

          “ผมยังไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นใหม่กับใครทั้งนั้น”

          “ผมไม่เร่งรัด” เขายอมแพ้ในที่สุด

          “คุณพักที่ไหน  ผมโทรถามโรงแรมตั้งหลายแห่งก็ไม่พบ คุณไม่ได้เข้าประชุมหรอกรึ” เขายืนใกล้ทอมจนได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ จากตัวทอมที่เขาชอบลอยมาเข้าจมูก

          “ผมไม่ได้เข้าประชุมวันสุดท้าย” ทอมไม่อยากจะบอกว่า พระราชวังฮัปสบวร์ก  ที่ประชุมนานาชาตินั้น ก็เหมือนอีกหลาย ๆ แห่งในกรุงเวียนนาที่ช่วยรื้ออดีตให้แจ่มชัดขึ้น…อดีตระหว่างคริสและเขา  ท้ายที่สุดเป็นเขาเองที่ต้องเผ่นมาที่นี่ก่อนที่ประชุมเลิกด้วยซ้ำ

          “นั่นสิ ผมถึงตามหาคุณไม่เจอในรายชื่อพวกประชุมที่จะมาถึงบ่ายวันนี้” คริสลูบไล้ต้นแขนกลมกลึงของทอมอย่างเบามือ

          “หน้าคุณแดงเรื่อ ตัวคุณก็อุ่น ๆ  เป็นไข้หรือเปล่านี่  เดี๋ยวผมพาขึ้นไปพักบนห้องผมก่อนดีกว่าอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง” คริสบอกด้วยความห่วงใย

          “เดี๋ยวผมจะลงไปซื้อยาให้  แล้วจะเลยไปเก็บของให้คุณด้วย เอากุญแจห้องมาสิ”

          ทอมจำใจต้องส่งกุญแจห้องให้เขา  บอกโดยไม่ยอมสบตาว่า “ผมยังไม่ได้จ่ายค่าห้องครับ  เงินอยู่ในกระเป๋า”

          เขารับกุญแจไป  แต่ไม่ได้หยิบเงินค่าห้องอย่างที่ทอมบอกไว้  เขากลับมาอีกครั้งในเวลาไม่นานนัก  พร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางของทอม

          เขาปลุกให้ทอมลุกขึ้นมาทานยา  ก่อนจะให้นอนพักผ่อนต่อ  เขาเลี่ยงออกไปนั่งเก้าอี้ที่มุมห้อง  นึกอยากสูบบุหรี่  แต่แล้วก็ต้องเปลี่ยนใจ  เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนคนป่วย…ดวงตาคมจับอยู่ที่ร่างโปร่งบางที่นอนอยู่บนเตียงของเขา  นั่นคือคนที่เขารัก ภาพงดงามที่ฝันมานาน ไม่คิดว่าจะให้ความสุขแก่หัวใจได้มากขนาดนี้

          คริสเข้าห้องอาบน้ำ  ทำความสะอาดร่างกาย  เปลี่ยนจากชุดเดินทางมาเป็นชุดลำลอง  แล้วล้มตัวลงนอนข้าง ๆ โอบทอมไว้ด้วยวงแขนล่ำ “ทอม ผมรักคุณ..อย่าไปไหนอีกเลยนะ อยู่กับผมเถอะ ผมทนเห็นคุณไปไหน ๆ คนละทางกับผมไม่ได้” เสียงกระซิบข้างหู

          ใบหน้าของคริสแนบลงบนผิวแก้มนวลของเขา  ทอมสะท้านเยือก  สัมผัสนั้นเรียกอดีตหวานชื่นให้กลับคืนมาอีกครั้ง

          คริสยังไม่คลายอ้อมแขนที่โอบรัดไว้  จมูกโด่งงามของเขาซุกไซ้ไปบนผิวแก้มเนียน  เสียงกระซิบข้างหู “กลับไปนี่เราแต่งงานกันนะ ผมอยากทำให้ถูกต้องสมบูรณ์เสียที”

          “ผมจะพาคุณไปนั่งเรือกอนโดล่า  แล้วจะพากลับไปเวียนนา ไปดูดานูบสีน้ำเงินก่อนบินกลับนิวยอร์ค  ผมอยากเห็นเมืองนั้นอีกสักครั้ง…เมืองที่เรารักกัน…”

          ทอมซุกหน้ากับไหล่ของเขา  ปล่อยน้ำตาให้ไหลซึมผ่านร่องแก้มช้า ๆ เมื่อหวนนึกถึงอดีตที่ผ่านมา  คริสคลายอ้อมแขน  จุมพิตที่แก้มเนียนก่อนจะคลี่ผ้าห่มคลุมให้


 

ชั่วชีวิตหนึ่งของคน…  กับการรักใครสักคนอย่างจริงจังและเป็นที่รักของบุคคลนั้น…

*********************************************************************************

Wachau
Wachua

          วาเคา(Wachua) คือดินแดนช่วงสั้นๆ บริเวณสองฝั่งแม่น้ำดานูบ (เพียง 22 ไมล์จากความยาวทั้งสิ้น 1,740 ไมล์ ) ที่มีลักษณะภูมิทัศน์หลากหลาย มีโบราณสถานทางวัฒนธรรมและหมู่สถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ ตามเมืองเล็กเมืองน้อยเรียงรายตลอดสองฝั่งแม่น้ำ


          ลักษณะที่สร้างความโดด เด่นให้แก่วาเคา คือ ความงามตามธรรมชาติ ทั้งสายน้ำดานูบที่คดเคี้ยว ทุ่งหญ้าและพุ่มไม้   เขียวชอุ่มริมฝั่ง และความงามที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ไร่องุ่นขั้นบันได หมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตัว ฟาร์ม โบสถ์ ปราสาท และซากโบราณสถาน ความพิเศษของภูมิทัศน์เป็นผลจากทิวทัศน์งดงามโดยการแต่งแต้มของอาคารต่างๆ ที่ตั้งอยู่เหนือริมฝั่งตลิ่งสูงชัน

First trip to Hawaii

Aloha Hawaii (สวัสดี ฮาวาย)

Aloha beach writing

          ครั้งแรกในชีวิตกับการเดินทางออกนอกแผ่นดินเกิดสู่ฮาวาย  ตื่นเต้นสุด ๆ  คะ  การเดินทางใช้เวลาประมาณ 14 ชั่วโมง หลับๆ ตื่น ๆ แอร์ฯปลุกขึ้นมาทานอาหารเป็นระยะ ๆ  กว่าจะถึงท่าอากาศยานนานาชาติโฮโนลูลู (Honolulu International Airport)  ทำเอาสาหัสเอาการคะ(ปวดเมื่อยไปหมด)  พอได้ลงเหยียบแผ่นดินฮาวายเท่านั้น  อาการที่ว่าหายเป็นปลิดทิ้งเลยคะ  สนามบินฯ สวย  อากาศสะอาดสดชื่น  สูดเข้าไปเต็ม ๆ ปอดเลยคะ

HonoluluAirport

          มาเที่ยวทั้งทีประวัติต้องมาก่อนคะ  รัฐฮาวาย (Hawaii) เป็นรัฐในสหรัฐอเมริกาตั้งอยู่ในหมู่เกาะฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก ฮาวายได้รวมเข้ากับสหรัฐอเมริกา เป็นลำดับสุดท้าย ลำดับที่ 50 ในวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) โดยฮาวายตั้งห่างจากชายฝั่งสหรัฐอเมริกาประมาณ 3,700 กม. (2,300 ไมล์) แต่เดิมฮาวายถูกเรียกว่า “หมู่เกาะแซนด์วิช” (Sandwich Islands) ตั้งโดย เจมส์ คุก (James Cook) เมื่อล่องเรือมาพบเกาะ ในปี พ.ศ. 2321 (ค.ศ. 1778)

          รัฐฮาวายมีโฮโนลูลู เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐ โฮโนลูลูเป็นภาษาฮาวายแปลว่า “สถานที่พักสำหรับคนเดินทาง” ภาษาทางการของรัฐคือ ภาษาอังกฤษ และ ภาษาฮาวาย ฮาวายมีชื่อเล่นของรัฐว่า “รัฐอโลฮา” (Aloha State) ซึ่งคำว่า อโลฮา เป็นคำทักทายในภาษาฮาวาย มีความหมายถึง “สวัสดี” และ “ลาก่อน”

honolulu

          สถานที่แรกที่ไปชม The USS Arizona Memorial หรือ เพิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbour)สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของซากเรือรบที่อับปางลงในอดีต และได้รับการยอมรับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการรำลึกถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งอยู่ที่ Pacific National Monument  เป็นสถานที่รำลึกถึงโศกนาฏกรรมในอดีต

The-USS-Arizona-Memorial

          ก่อนเยี่ยมชมเรือรบยูเอสเอส อริโซนา (USS Arizona) ต้องเข้าไปฟังบรรยายประวัติศาสตร์ความเป็นมา เป็นหนังสั้นเกี่ยวกับประวัติโดยย่อ ให้พอมีความรู้พื้นฐานก่อนประมาณ 23 นาที แล้วต่อด้วยการนั่งเรือชมบรรยากาศโดยรอบ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เกิดความสูญเสียขึ้นกับเรือรบและทหารที่ถูกโจมตีจนเสียชีวิต

pear harbor

pui01
หนึ่งรูปก่อนลงเรือ
pui06
ภาพเรือที่อยู่รอบ ๆ เพิร์ลฮาร์เบอร์

          “สำหรับคนที่รู้ตัวว่าเมาเรือต้องทานยาก่อนนะคะ  เพราะทริปที่เราไปมีคนเมาเรือด้วยคะ”

pui02
Smile ^_^

          เมื่อชมบรรยากาศโดยรอบแล้ว ก็ได้เวลาเทียบท่า  เตรียมพร้อมก้าวเดินขึ้นไปชมเรือรบยูเอสเอส อริโซนˆา (USS Arizona) หนึ่งในเรือรบของเพิร์ลฮาเบอร์ เพราะเกิดระเบิดอย่างรุนแรงที่ห้องเก็บอาวุธของเรือ ส่งผลให้เรือรบขนาดใหญ่จมลงภายในเวลาไม่ถึง 9 นาทีพร้อมกับพาลูกเรือ 1,177 นายลงสู่ทะเล สมรภูมิเลือดที่นำอเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2  ซึ่งปัจจุบันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งชาติ และเป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเหตุการณ์ขณะที่กองบินของญี่ปุ่นเข้าทำการโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคแปซิฟิก

pui05
Me & anchor

          ขณะชมหนังสั้นเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 (แอบน้ำตาซึม)  เมื่อได้มาเห็นซากเรือรบยูเอสเอส อริโซนˆา (USS Arizona) ที่จมอยู่ใต้ทะเล(น้ำใสมาก)  ความรู้สึกถึงการสูญเสียอย่างมากมายกว่าพันชีวิตต้องจมลงสู่ทะเลไปพร้อมกับเรือ

pui03
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเบื้องล่าง
uss01
สิ่งที่เห็น
uss02
น้ำลงจะเห็นชัด ๆ แบบนี้คะ
อริโซ่ากำลังอัปปางลง
ภาพอริโซนา กำลังอัปปางลงสู่ทะเล

          จากนั้นเดินทางต่อโดยนั่งรถชมรอบเกาะโอฮาอู เมืองหลวงของรัฐฮาวาย ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะสำคัญ 5 เกาะ คือ คาอู้ ลาไน มาอูอิ ฮาวายอิ และโอฮาอูที่เป็นเกาะสำคัญที่สุดมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากสุด เพราะมีมีชื่อเสียง สวยงาม และบรรยากาศโรแมนติก

          โรงแรมที่พักเลือกอยู่ใกล้หาดไวกิกิ (Waikiki)  หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อย  ก็ออกไปเดินเล่น  รับอากาศสดชื่นยามเช้า ออกกำลังกายชายหาดแบบเบา ๆ

pui04
ริมหาดไวกิกิ

          หาดไวกิกิ (Waikiki) เป็นหาดทรายขาว ทอดตัวยาวกว่า 3 กม.บนฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก หาดนี้ถือเป็นถิ่นกำเนิดของการเล่นเซิร์ฟบอร์ดตั้งแต่สมัยชาวโพลีนิเชียน ซึ่งมาตั้งรกรากที่ฮาวายเมื่อหลายร้อยปี

หาดไวกีกิ

          ยามอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเดินกินลมชมวิว  จากตัวโรงแรมเดินไปเรื่อยเปื่อยบนทางเท้าสำหรับเดินถนนเลียบชายหาด  ถนนที่นี่สะอาดไร้กลิ่นเหม็น ไม่มีขยะและฝุ่นบนพื้นถนน  เพราะช่วงกลางคืนจะมีรถดูดฝุ่นถนนออกมาทำความสะอาดทุกคืนคะ

pui16
อาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า

          เมื่อมาถึงถิ่นต้องกินให้ได้ ไอศกรีมฮาเกนดาซ (Häagen-Dazs)แมคคาเดเมียนัท  ความกลมกล่อมของแมคคาเดเมียกับเนื้อไอศกรีมของฮาเกนดาซ มันชวนฝันเลยทีเดียว  แถมด้วยนักดนตรีเปิดหมวกขับกล่อม  ความอร่อยมาพร้อมความสุขเลยคะ  ต่อด้วยการเดินชมสินค้าที่ระลึกตลอดทาง  พร้อมอาหารตาสาวสวยรัสเซียออกทำงานเพียบเลยคะ

          ภูเขาไฟไดมอนด์เฮด (DIAMOND HEAD) ภูเขาไฟที่มอดดับลงแล้ว ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างโดดเด่นจากหาดไวกิกิ

Diamond-Head

          โพลินีเชียน คัลเจอรัล เซ็นเตอร์ (Polynesian Cultural Center) สถานที่หนึ่งที่คงความเป็นฮาวายแท้ ๆ  เป็นศูนย์วัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ แห่งรัฐฮาวาย ซึ่งประกอบด้วยเผ่าพื้นเมือง 7 เผ่า ได้สัมผัสวัฒนธรรมของแต่ละเผ่าอย่างใกล้ชิด พร้อมชมการแสดงระบำของสาวสวย ฮูลา ฮูล่า ระบำชาวเกาะแบบชาวโพลีนิเชียน อันเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งแปซิฟิกใต้

pui10
นั่งพักเหนื่อย
pui07
การแสดงของเผ่าพื้นเมือง
pui08
การแสดงของเผ่าพื้นเมือง

          ได้เวลาไปชมโลกใต้น้ำกันแล้วคะ  ต้องนั่งเรือยนต์ออกจากฝั่งเพื่อไปลงเรือดำนำ(Submarine) ซึ่งลอยลำรออยู่กลางทะเล   เมื่อผู้โดยสารลงเรือดำน้ำพร้อมเลือกที่นั่งกันตามอัธยาศัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เรือดำน้ำค่อย ๆ  ดำลงใต้ทะเลไปเรื่อย ๆ   ยามมองออกนอกหน้าต่างกระจก สีน้ำที่สะท้อนเข้าตาเป็นสีฟ้าใสสวยมาก  ฝูงปลาทะเลว่ายไปมาดูสวยงาม  เหมือนเราได้ว่ายน้ำเล่นไปกับฝูงปลาสวย ๆ เหล่านั้นเลยคะ  ครั้งแรกที่ได้มีโอกาสลงเรือดำน้ำ รู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ คะ

submarin

          พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า  ได้เวลาไปล่องเรือทานอาหารมื้อเย็นกันคะ อาหารดี ดนตรีเพราะ  พร้อมชมระบำฮูลา ฮูล่า(ระบำฮาวาย)จากนักเต้นสาวสวย

pui09
เต้นอย่างสนุกสนานและสวยงาม

          ยามทอดสายตามองไปยังฝั่ง  ในความมืดแสงไฟยามค่ำคืนของหาดไวกิกิดูสวยงามเหมือนดวงดาวที่ส่องประกายอยู่บนท้องฟ้า ดวงจันทร์กลมโตดวงใหญ่เหมือนอยู่ใกล้แค่มือเอื้อม

Hawaii

          ณ ดินแดนภูเขาไฟโผล่ขึ้นกลางมหาสมุทรแปซิฟิก โฮโนลูลู (Honolulu) เป็นเมืองน่าเที่ยว เหมือนเกาะแห่งสรวงสวรรค์ เป็นดินแดนที่ผู้คนใฝ่ฝัน มีเสน่ห์สวยงาม ตรึงตา ตรึงใจ เมื่อได้ไปสัมผัสความงามของธรรมชาติอย่างแท้จริงด้วยตัวเอง

Aloha Hawaii (ลาก่อน ฮาวาย)

*********************************************************************************************

รูปภาพของเจ้าของบล็อคอาจดูไม่สวย ก็ทน ๆ ดูกันหน่อยนะคะ  เป็นความทรงจำที่เก็บไว้ในอัลบั้มคะ  ^_^